top of page

ผู้กุมชะตา

          เส้นสายฟ้าผาดแผลงไต่แทรกทะลุกำแพงเมฆดำทะมึนไปมาหลายครั้ง  ก่อนฟาดเปรี้ยงลงสู่ไม้ใหญ่ที่ยืนท้าทายอยู่กลางทุ่งโล่ง  สำแดงพลานุภาพด้วยกระแสไฟฟ้าแรงสูงและกระแสเสียงกึกก้องโกญจนาทประหนึ่งฝูงช้างป่าซึ่งตื่นเตลิดจนแผ่นดินสะท้าน  กิ่งก้ามปูชราขนาดใหญ่ถูกหักรานลงดินพร้อมประกายและเปลวไฟพุ่งปะทุ  สะเก็ดไฟกระเด็นถูกผ้าเจ็ดสีบอบบางเก่าคร่ำหลายผืนที่ผูกเอาไว้โคนต้นจนลุกไหม้เป็นจุลในชั่วพริบตา  และศาลเพียงตาขรึมขลังก็ถูกกิ่งก้ามปูฉีกลงมาทับจนแหลกยับปี้ป่น  กระทงข้าวสุกอาหารเซ่นคาวหวานกระจัด กระจาย กระถางข้าวสารเสียบธูปกำดอกไม้สด และแห้งหล่นเกลื่อนพื้นระเนระ นาด รูปปั้นตายายแตกบิ่นแขนขาแหลกละเอียด  กุมารทองกะเทาะร้าวจุกเกล้าผมบนหัวกระเด็นหาย  นางกวักแขนหักหัวขาด  ทั้งเหล่านางกำนัลรับใช้  และฝูงสัตว์ปูนก็แตกหล่นไปคนละทิศละทาง  กระแสไฟฟ้าซึ่งพุ่งพล่านเข้าทำลายทุกอณูในเนื้อไม้  วิ่งไปตามความชื้นซึ่งเป็นตัวนำไฟฟ้าและสายชีวิตของต้นก้ามปูใหญ่  ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลันทันใดและจบสิ้นลงอย่างรวดเร็ว  ก้ามปูเขียวครึ้มเต็มไปด้วยชีวิตชีวาได้ตายไปแล้วขณะใบยังเขียวสด  และแม้แต่ชั่วระยะที่ใบอ่อนกำลังระบัดเสียดยอดเติบโตก็ตาม  เป็นการตายทั้งชีวิตยังดำเนินอยู่  เป็นการตายซึ่งเฉียบขาดน่าหวาดสะพรึงเสียนี่กระไร  ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเหนือหมู่บ้านหนองขาม  ในยามเกิดกลียุคขัดแย้งไปทั้งแผ่นดิน  ในยามอาเพศเหตุร้ายซ่านซึมไปทุกหย่อมหญ้า  ในยามเสียงพิโรธแห่งความวิปโยคกู่ก้องคำรามอย่างน่าขนลุกขนพอง  ในห้วงยามที่บ้านหนองขามถูกแบ่งแยกออกสองฝักสองฝ่ายเป็นหนองขามเหนือและหนองขามใต้  โดยมีวัดเทพานิวาสกั้นกึ่งกลาง  แต่ครั้งโบราณนานไกล  หนองขามมีชาวบ้านมาตั้งรกรากอยู่ไม่ถึงสิบครัวเรือน  ภูมิประเทศเป็นทั้งราบลุ่มและสันดอน  กับผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์โอบล้อมบึงธรรมชาติขนาดใหญ่ซึ่งลึกและเย็นเยียบ  กลางบึงมีต้นตะเคียนมหึมายืนตายซากอย่างโดดเดี่ยวแผ่กิ่งก้านโกร๋นแกร๋นง้ำตระหง่านมาช้านาน  กิ่งก้านขนาดใหญ่กร้านเกรียมด้วยสายฟ้าโดยไม่มีริ้วรอยฉีกขาด  ต้นตะเคียนแผ่รัศมีเป็นเงาทะมึนคลุมผิวน้ำดำสนิทยามครึ้มฝน และทอดเงาเหนือแผ่นน้ำสะท้อนเป็นสองต้นยามฟ้าเปิด  ประหนึ่งอุปรากรกลางน้ำซึ่งมีกายขาวสลับดำ  หากร้างการแสดงมาช้านานและยืนอยู่ด้วยอาการสงบหลายปีดีดัก ในยามค่ำคืนด้วยแล้วเงื้อมมือของความมืดก็สะกดแผ่นน้ำให้ดูเย็นยะเยือกลึกลับ  ชาวบ้านอาศัยน้ำจากฝายเล็กๆ อีกแห่ง ขุดขึ้นใหม่เพื่อผันน้ำเข้านาปรังในช่วงฤดูแล้ง  เพียงไม่กี่สิบปีฝายลูกก็ถูกขุดขยายกว้างออกไปอีก  เพื่อรองรับผู้ที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่นับร้อยครัวเรือน  มีการหักร้างถางพงเข้าจับจองทำไร่ทำนา  หมู่บ้านในอดีตมีตำนานของความเร้นลับเคลือบคลุมอยู่ทุกหย่อมย่าน  ยายคำฝานหมอผีคนสุดท้ายอายุนับร้อยปีของหมู่บ้านหนองขาม  กระอักเลือดตายพร้อมกับคำสาปแช่ง  เมื่อหลานสาวผู้ถูกหมายมั่นสืบทอดมนต์ดำของแกหนีหายไปกับชายหนุ่มในหมู่บ้าน  ยายหมอผีผู้มีตบะเวทมิอาจทระนงต้านกระแสแห่งการทิ่มแทงจากขี้ปากชาวบ้าน  ถึงความบัดสีบัดเถลิงของลูกสาว อันแพร่สะพัดเข้าหูแกดั่งเชื้อโรคร้ายได้  ยายคำฝานโกรธเกรี้ยวด้วยแรงอาฆาตจัด แกกำชับญาติหนักหนาให้เอากระดูกไปฝังใต้ต้นตะเคียนให้จงได้ตั้งแต่แกยังเป็นๆ  วิธีตายของแกถูกตระเตรียมอย่างปิดงำเต็มด้วยความดำมืด  เสียงสวดมนต์ของยายหมอผีก้องสะท้านแทรกคลื่นฤดูร้อนขึ้นมาเป็นจังหวะจะโคน  บ้างเกรี้ยวกราด  บ้างเศร้าโศกสะอึกสะอื้นอยู่ในยามวิกาล เสียงสังวัธยายเดรัจฉานกถาอันขรึมขลังเต็มเปี่ยมด้วยพลังเร่งเร้ายิ่งขึ้นตอนใกล้ฟ้าสาง  และจบลงด้วยเสียงหวีดร้องครั้งสุดท้ายดังกรีดแทรกบรรยากาศขึ้น จนลูกเล็กเด็กแดงไม่เป็นอันนอน ต่างร้องไห้กระจองอแง  จ้าละหวั่นไปทั้งหมู่บ้าน ยายคำฝานตายอย่างทุกข์ทรมานด้วยความอาฆาตมาดร้าย  หลังจากร่างแกถูกฝังใต้ต้นตะเคียนยักษ์ไม่ทันไร  พายุฤดูร้อนก็ตั้งเค้าขึ้นเหนือหมู่บ้านหนองขาม  ต้นตะเคียนถูกฟ้าผ่าหลายครั้งพร้อมพายุฝนกระหน่ำอยู่หลายวัน  กระทั่งเกิดน้ำท่วมใหญ่  เคราะห์ดีหมู่บ้านตั้งอยู่บนที่สูงจึงรอดพ้นหายนะครั้งนั้นมาได้  น้ำป่าหลามท่วมหุบตะเคียนและขังอยู่เช่นนั้น  ผู้คนในหมู่บ้านหนองขามต่างหวาดกลัวคำสาปแช่งจนไม่เป็นอันทำมาหากิน  เกิดการระส่ำระสายไร้ที่พึ่งทางจิตวิญญาณ จนกระทั่งชาวบ้านชาญฉลาดและกล้าหาญผู้หนึ่ง  เสนอให้นิมนต์พระมาเป็นร่มโพธิ์ของชาวบ้านนับจากนั้น

       โลกในมุมแคบเคลื่อนผ่านสายตาของยายเยื้อนมานานเก้าสิบหกปี  ขณะหมู่บ้านหนองขามแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างลิบลับ  ตาข้างซ้ายของแกบอดสนิทตอนอายุเจ็บสิบแปด  ข้างที่เหลือยังใช้การได้ไม่ดีนัก  แม้จะมองเห็นชัดเจนในตอนกลางวัน  แต่หากเป็นตอนกลางคืนแล้วแกกลายเป็นหญิงชราซึ่งมีดวงตาขุ่นมัว  เคลื่อนไหวได้เพียงคืบเพียงศอกในคืนเดือนดับ  ค่าที่ยายเยื้อนมองไม่เห็นอะไรเบื้องหน้าอย่างแจ่มชัดนัก  เป็นการช่วยไม่ได้เมื่อจิตของแกจะท่องไปในอดีต  หยั่งลงสัมผัสกับความน่าสะพรึง  ความเชื่อปรัมปรา  ซึ่งสำหรับแกแล้วทุกสิ่งทุกอย่างยังคงความน่าหวาดหวั่นไม่เสื่อมคลายลงเลย  ยายเยื้อนเป็นหญิงชราผู้มีอายุยืนยาวที่สุดในหมู่บ้านขณะนี้  คนรุ่นแกทยอยตายไปทีละคนสองคนในเวลาใกล้เคียงกันโดยไร้สาเหตุ  ซึ่งยายเยื้อนไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานศพแม้แต่ครั้งเดียวเนื่องจากตัวแกเองมีปัญหาทางสุขภาพเป็นๆ หายๆ  หลังจากหมอผีคำฝานตาย  ยายเยื้อนเก็บตัว  ครุ่นคิดอยู่บ่อยครั้งถึงความผิดบาปของลูกชายคนสุดท้อง  ซึ่งเป็นต้นเหตุให้หมอผีเฒ่าต้องตรอมใจตายด้วยความคั่งแค้น  ความเปลี่ยนแปลงพาสิ่งแปลกใหม่มาสุมรวมในหมู่บ้าน และพรากความสงบสุขไปสิ้น เป็นคำสาปซึ่งยังแฝงเร้นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกของยายเยื้อน  การที่แกยังไม่ตายก็เพื่อเป็นสักขีพยานแห่งความพินาศซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น  แกตระหนักเสมอ และคิดต่อไปอีกว่า  ตัวแกเป็นผู้ถูกยุคสมัยเก่าแก่หลงลืมทิ้งให้ตกค้างไว้  ราวกับรากไม้คร่ำครึแห่งอดีตกาล  ซึ่งงอกล้ำเข้าไปในแผ่นดินแห่งอนาคตซึ่งเห็นรากไม้เป็นสิ่งเกะกะขวางหูขวางตา  ยายเยื้อนถูกลืมทั้งยังมีตัวตน  สังขารแกนั้นเล่าก็เหมือนแผ่นกระดาษอันกรอบปรุง่ายต่อการฉีกขาด  ดูเหมือนผมขาวโพลนจะหยุดงอกเสียแล้ว  เป็นเส้นแข็งโกกหยาบกระด้างโผล่พ้นหนังหัวเพียงองคุลี  ผิวหนังยับย่นไปทั้งร่าง  เนื้อหนังอันเคยหย่อนยานกลับหดหาย  กลายเป็นหนังหุ้มกระดูก  ยายเยื้อนกินน้อย  ด้วยว่ารสชาติอาหารที่แกแค่นกินนั้นเฝื่อนจางเต็มที  เพราะลิ้นไม่ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์อีกต่อไป  ประสาทการรับรู้ทั้งหลายซึ่งเคยฉับไว  เสื่อมโรยลงเสมือนหนึ่งเครื่องจักรผุพังทำงานกึงกังอย่างช้าเชือนรอเวลาปลดระวาง  หนังยับย่นกับเส้นเลือดที่ปูดโปนรัดหุ้มกระดูกซึ่งพรุพรุนจนคร้านจะเคลื่อนไหว  ตัวตนของแกหดเล็กลงอย่างมากมายจนดูคล้ายกับคนแคระ  และไม่สามารถตั้งกระดูกสันหลังของตนให้ตรงได้ สันหลังที่ขนานไปกับพื้นโลกทำให้แกรู้สึกว่าตนไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป  กระนั้นก็ไม่ใช่สัตว์  หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งเคลื่อนไหวอืดอาดเชื่องช้าจนน่ารำคาญ  รอยยิ้มเหือดหายไปเนิ่นนานแล้ว  แกจำไม่ได้ว่าเคยยิ้มอย่างเปี่ยมสุขเต็มใบหน้าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่  ยังไม่มีโอกาสได้นึกถึงมัน  ยายเยื้อนเป็นหญิงชรายากจนข้นแค้น  ซึ่งมีแต่หยาดน้ำตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้น้ำตาเองก็ยังไหลออกมาอย่างยากลำบาก รอยยับย่นบนใบหน้าเป็นบ่อขังหยดน้ำตา  และเหือดแห้งไปกับรอยย่นยู่นั้น บ่อยครั้งแกโศกเศร้าจุกอยู่ในอกอยากระบาย  แม้บีบเค้นแล้วก็ตาม  แต่น้ำตาเองก็ไม่เต็มใจไหล  ผัวแกตายจากไปเมื่อสามสิบปีก่อน  ส่วนลูกสาวต่างแต่งงานกับคนหมู่บ้านอื่นซึ่งมีไร่นามากมาย  แต่ถึงกระนั้นต่างก็ถูกลูกหลานทอดทิ้งเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ  หน้านาจึงพากันหลั่งไหลกลับมาช่วยกันลงแขก  หมดหน้านาก็อพยพเข้าเมืองหลวง  ลูกสาวแกแต่ละคนอายุหกสิบเจ็ดสิบกันแล้ว  ต่างแก่หง่อมไปตามๆ กัน  ยายเยื้อนเคยอาศัยอยู่กับลูกชายคนที่สี่  ปลูกบ้านไว้ท้ายหมู่บ้านหนองขามใต้  หาใช่กระท่อมโกโรโกโสไม่  เป็นบ้านไม้หลังคาสังกะสีใต้ถุนสูงกว้างขวางบนเนื้อที่ราวไร่ครึ่ง  เนื่องจากแกประสบปัญหาเรื่องการปีนบันไดเจ็ดแปดขั้นขึ้นไปบนบ้าน  ลูกชายจึงใช้ไม้ไผ่สานหยาบๆ ล้อมเป็นห้องมีประตูหับเข้าออกได้  สำหรับให้แกใช้นอนตรงใต้ถุน  ส่วนลูกชายก็ถือความชอบธรรมนอนบนเรือนแต่เพียงผู้เดียว  ยายเยื้อนไม่ได้โต้แย้งอันใดเลย  ในเมื่อเป็นความสะดวกสบายของแกด้วย  แต่เวลานั้นชาวบ้านหลายคนล้วนส่ายหน้าตามๆ กัน  นั่นกลายเป็นว่า  ยายเยื้อนนอนเฝ้ายามเป็นฝ่ายระแวดระวังภัยให้ลูกชายหัวโปรดไป  ชาวบ้านมักพูดเสมอว่ายายเยื้อนเป็นคนมีกรรมหนัก  ระยะเดินจากบ้านลูกสาวทั้งสามมาบ้านแกราวสองร้อยก้าว  แต่นานเท่าใดแล้วที่ลูกสาวไม่มาเยี่ยมแกบ้างเลย  นานมากจนบางครั้งยายเยื้อนกล้ำกลืนความทุกข์ระทมในอกอยู่คนเดียว  ความตรมตรอมขนาบแกจนใจเจียนแหลกยับนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว  และนั่น  หากแกทนคิดถึงลูกไม่ไหว  การเดินทางที่แสนยากยิ่งก็จะต้นเริ่มขึ้น  สองร้อยก้าวของคนปรกติซึ่งแข็งแรงดูไม่ยากเย็นนัก  หากแต่สำหรับยายเยื้อนแล้ว  เทียบได้กับสี่ร้อยก้าวของคนซึ่งป่วยกระเสาะกระแสะทีเดียว  ซ้ำร้ายยังเป็นสี่ร้อยก้าวอันเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจอีกด้วย  แกไปไหนมาไหนพร้อมกับลำหวายที่ใช้เป็นไม้เท้าดังหนึ่งอวัยวะในตัวแก  สิ่งนี้ช่วยได้มากมายและแกรู้สึกถึงความสำคัญอย่างจริงใจทั้งที่เป็นเพียงท่อนไม้ไร้ชีวิต  เป็นอวัยวะชิ้นเดียวซึ่งมีความมั่นคงแข็งแรงกว่าตัวแกเสียอีก  เนื้อหวายเป็นมันสีดำขลับจากการเผาและเคลือบน้ำยาอย่างดีด้วยฝีมือลูกชาย  ไม้เท้าแข็งแกร่งและคงสภาพเดิมมาหลายปี  ทั้งยังช่วยค้ำร่างไว้ในยามท่อนขาอ่อนแรงและทรยศต่อคำสั่งของแก  โดยปรกติยายเยื้อนไม่ได้เคลื่อนกายไปไหนไกลจากบ้านนัก  ด้วยแกไม่มีธุระกับใครหรือสิ่งใดอีกแล้วในโลกนี้  นอกจากความคิดถึงลูกสาวทั้งสามเพียงประการเดียว  อันเป็นกำลังขับมากพอให้ออกแรงเดินไปหา  ความสุขของแกเพียงไม่กี่อย่างในชีวิตคือได้เห็นหน้าลูกสาวผ่านดวงตาซึ่งพร่าเลือนเท่าที่แกหวังได้  ไม่มีใครฉุกคิดถึงแก  พวกลูกหลานลืมแกไปเสียแล้ว  แม้แต่ลูกสาวของแกก็เถิด  ต่างแก่ชราเจ็บออดๆ แอดๆ  หรือแม้แข็งแรงดี  การไปเยี่ยมแม่ล้วนเป็นความต้องการอย่างท้ายๆ  ครั้งที่ลูกชายยังอยู่นั้นเล่าก็ใช่จะพึ่งพิงได้ตลอด  มีเหตุทำให้ลูกชายยายเยื้อนมีสติไม่เต็มเต็ง  สามวันดีสี่วันป่วย  ย้อนไปยี่สิบปีก่อนตั้งแต่มันยังหนุ่ม  ลูกชายคนนี้ดูจะเป็นที่ชื่นชมได้  ทั้งขยันขันแข็งสร้างฐานะและอาสาดูแลแม่เฒ่าแต่เพียงผู้เดียว  ยายเยื้อนเคยปลื้มปีติกับตู้ฤทธิ์ผู้เอาการเอางาน  ชาวบ้านเรียกขานนายฤทธิ์เป็นตู้ฤทธิ์เพราะได้ฉายามาจากการชอบเลียนเสียงพากย์หนังกลางแปลง  เด็กๆ เปรียบว่าเป็นตู้ลำโพงซึ่งเคลื่อนที่ได้ เด็กๆ ชอบจับกลุ่มชวนพากย์หนังให้ฟังเป็นประจำ  นายฤทธิ์จึงถูกเรียกตู้ๆ จนติดปาก    ในยามแสงแรกแห่งวันสาดจับทิวไม้ซึ่งปกคลุมด้วยม่านหมอกขมุกขมัว  หมู่นกซ่อนตัวอยู่ในพงรกและป่าไผ่ต่างเพรียกเสียงพร่ำระงม  ตู้ฤทธิ์ต้อนฝูงควายบ่ายหน้าไปไร่  ข้ามโนนแว้งซึ่งเต็มไปด้วยหญ้าอ่อนระบัดใบนุ่มนิ่มราวผืนพรม  ปล่อยให้พวกมันกินหญ้าอย่างอิสระ  ควายงานสามตัว อ้ายมะลอม  อ้ายแก้ว  อ้ายทู่ ต่างสลับสับเปลี่ยนหน้าที่กันเทินแอกอย่างอดทน  นาปี  นาปรัง  ไร่ปอ  ไร่ข้าวโพด  แปลงผัก  ที่เหลือเป็นควายเมียเขาโง้งงามสองตัว  เผือกตัวดำตัวมีชื่อตามสีของมัน  ซึ่งต่างให้ลูกคอกสองคอกแล้ว  ควายเด็กขึ้นวัยแทงจมูกสนตะพาย  พี่สาวก็มาขอไปเลี้ยงใช้งานบ้าง  ญาติต่างถิ่นมาขอซื้อไปเลี้ยงบ้าง  ตู้ฤทธิ์ไม่หวง  ขออย่างเดียวอย่าเอาไปฆ่าขายเนื้อเป็นพอ  ตู้ฤทธิ์รักควายงานสามตัวนัก  โดยเฉพาะอ้ายมะลอมนั้นเป็นควายเทศผิวสีดินหม้อสูงใหญ่บึกบึน  ลำคอลำขากำยำได้ส่วน  เขาสั้นๆ ของมันงอโค้งไปข้างหลังเป็นก้อนแปลกประหลาดคล้ายเขาแกะ  มันพยศ  หากสู้งานและมักตื่นเต้นเมื่อเห็นควายตัวอื่น  แต่มันก็ยอมลงให้กับตู้ฤทธิ์ผู้เป็นเจ้าของเพียงคนเดียว  ส่วนอ้ายแก้วเป็นควายเผือกขยันหากิน  กระเพาะน้ำและหญ้าเต็มตื้นขึ้นแต่หัววันไม่เคยพร่อง  อ้ายแก้วสู้งานพอๆ กับที่มันขยันกิน  ทั้งอ้ายทู่ควายเตี้ยล่ำเขากุดอีกตัวหนึ่ง  มันแปลกควาย  เพราะตัวเตี้ยม่อต้อ  แถมยังมีฟองน้ำลายฟูมปากตลอดเวลา  อ้ายทู่มักใช้ลิ้นสีม่วงของมันแลบควงเข้าออกรูจมูกอยู่เป็นประจำ  ยิ่งเวลาเทียมแอกฟองน้ำลายของมันจะไหลยืดน่าตกใจ  แต่ตู้ฤทธิ์ก็ชินเสียแล้วกับพฤติกรรมของอ้ายทู่  ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ที่บ้านของตู้ฤทธิ์กับยายเยื้อนจะมีข้าวเต็มยุ้ง  มีฝักข้าวโพดตากเต็มลาน  หน้าขายปอ  ตู้ฤทธิ์จะตื่นเช้าเป็นพิเศษรีบมุ่งหน้าไปสู่ไร่ปอ  ลงมือตัดต้นปออย่างไม่รีบร้อน  บางวันหลังจากเสร็จงาน  ย่ำเย็นตู้ฤทธิ์มักจะได้มิ้มรังใหญ่ที่ติดอยู่กับต้นปอ  นั่งถือมาบนหลังอ้ายมะลอม  ถึงบ้านตู้คั้นหัวน้ำหวานใส่ถ้วยให้แม่กินหลังข้าวเย็น  ภายในไม่กี่วันต้นปอที่ตัดเสร็จก็ถูกมัดหัวมัดท้ายเป็นหอบๆ  ก่อนแบกลำเลียงลงแช่น้ำในคลองที่ขุดไว้  ซึ่งผันน้ำมาจากฝายส่วนหนึ่งและรองรับน้ำฝนอีกส่วนหนึ่งจนน้ำปริ่มคลองตลอดทั้งปี  เมื่อปอถูกแช่น้ำจนเปลือกเปื่อยยุ่ย  ตู้ฤทธิ์เกณฑ์จ้างคนในหมู่บ้านมาช่วยลอกเปลือกออกจากลำ  มัดหัวขึ้นตากแดดบนราวไม้ไผ่จนแห้งสนิท  ใช้เวลาไม่กี่วันถ้าแดดแรง  ระหว่างรอปอใกล้แห้งตู้ฤทธิ์จะจัดการตอกหลัก  ขึงเชือกป่านถักสามเส้นมีระยะห่างพอเหมาะยาวไปบนพื้นดินราวสิบเมตรเป็นอย่างน้อย  จัดเรียงปอที่แห้งก่อนทีละตับๆ ไปจนสุดเส้นเชือก  แล้วเรียงทับอีกเป็นชั้นๆ สองสามชั้นกะน้ำหนักให้ได้สักครึ่งตัน  จากนั้นค่อยๆ กลิ้งม้วนรวบมัดเป็นก้อนกลม  ขันชะเนาะเชือกเข้าทั้งสามเส้นอย่างแน่นหนาเหมือนมัดข้าวต้มเตรียมส่งขาย  ความเปลี่ยนแปลงอันร้ายแรงนั้น  เกิดขึ้นระหว่างเทียวลำเลียงมัดปอส่งขายยังอำเภออันห่างไกล  ตู้ฤทธิ์ไปชอบพออยู่กับหญิงสาวหมู่บ้านใกล้เคียง  เพียงไม่ถึงขวบปีจึงปลงใจแต่งงานแล้วพาเข้ามาอยู่ด้วยกัน  ยายเยื้อนไม่ชอบใจลูกสะใภ้คนนี้นัก  แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะเกรงลูกชายจะเสียใจ  แกได้แต่หวาดหวั่นอยู่ในใจเพียงลำพัง  ลูกสะใภ้ของแกคนนี้มีจริตจะก้านมารยา  ชอบแต่งตัวแต่ไม่ชอบลงไร่นาสู้แดดลม  จึงได้แต่ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ  ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าลูกสะใภ้คนนี้ชังน้ำหน้าแกเหมือนกัน  ด้วยความเกรงใจลูกชายจึงได้แต่นิ่งทน  แม้หลายครั้งจะถูกลูกสะใภ้พูดจากระทบกระเทียบ  ยายเยื้อนได้แต่กลั้นเก็บความทุกข์ที่อัดแน่นอยู่ในอกไว้เพียงคนเดียว  แกรู้ว่าลูกชายหลงใหลเมียของมันมาก  จนบางครั้งแสดงอาการหงุดหงิดใส่แม่ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  รอยยิ้มของหญิงชราเลือนหายไป  ใบหน้าอันเคยเบิกบานเลือนหายไป  ใบหน้าของความทุกข์ระทมเข้ามาครอบงำแทน  ยายเยื้อนไม่โทษใคร  ดูเหมือนแกจะยอมจำนนต่อชะตากรรมนี้  บ่อยครั้งเมื่อคิดถึงคำสาปแช่งของหมอคำฝานต่อตัวแกด้วยความวิตก  และยายเยื้อนก็เฝ้าคิดว่า  ผลของคำสาปแช่งนั้นอุบัติขึ้นอีกครั้ง  ก็เมื่อเมียของตู้ฤทธิ์หนีหายไปกับผู้รับเหมาฝังเสาไฟฟ้า  พร้อมเงินก้อนใหญ่ซึ่งตู้ฤทธิ์วางแผนเอาไว้ว่าจะซื้อที่ปลูกบ้านและเปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ  ตามความต้องการของเมีย โดยเลิกอาชีพเกษตรกรที่แสนลำบากและเหน็ดเหนื่อยเสียที  เงินจำนวนนั้นได้มาจากการขายที่ไร่กับฝูงควายแสนหวงของตู้ฤทธิ์ผู้หน้ามืดตามัวต่อความรักนั่นเอง  หลังจากเมียรักหนีตามชายชู้ไป  ตู้ฤทธิ์ตัดสินใจขายไร่ข้าวโพดหลังบ้านกระผีกเดียวซึ่งเป็นแหล่งทำกินผืนสุดท้าย  และขายเครื่องใช้ในบ้านทั้งหมด  เพื่อนำเงินเข้าไปตามหาเมียในกรุงเทพฯ  ทิ้งให้ยายเยื้อนอยู่บ้านเพียงลำพังนานนับปีโดยไม่ส่งข่าวคราวเลย  ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาเยียวยาเวทนาบัดสีซึ่งเกิดขึ้น  แม้แต่ลูกสาวทั้งสามคน  เสมือนเรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและเสื่อมเสียเป็นที่ยิ่ง  เหตุอันเกิดแต่เรื่องนี้นั่นเองทำให้ลูกสาวทั้งสามปฏิเสธการติดต่อกับแก  เป็นเรื่องบาดหมางกินใจกันระหว่างลูกกับแม่  ความสัมพันธ์ซึ่งเจื่อนจางอยู่แล้วกลับหมางเมินยิ่งขึ้นไปอีก  ยายเยื้อนหัวใจสลาย  แววตาเลื่อนลอยสิ้นเรี่ยวแรง  และในฤดูฝนรุ่งปีถัดมา  ในคืนที่สายฟ้าลมฝนเกรี้ยวกราด  แกไม่กล้าปีนป่ายบันไดสูงชันขึ้นไปบนบ้าน  ยายเฒ่าได้แต่ขดตัวอยู่ใต้ถุน  แรงลมกระโชก  เสียงคุ้มคลั่งแห่งสายฟ้าสะกดตรึงร่างกาย  ขู่กรรโชกให้ตัวแกหดลีบลงกว่าเดิม  ยายเยื้อนคลุมกายด้วยผ้าแพรผืนบางซุกหน้ากับเข่า  อ้ายทู่ส่งเสียงฟืดฟาดกระสับกระส่ายอยู่ในคอก  มันเป็นควายเพียงตัวเดียวที่ไม่มีใครอยากซื้อ  พ่อค้ารังเกียจร่างเตี้ยติดดินของมัน  อ้ายทู่จึงตกเป็นภาระอันหนักหนาสาหัสของยายเยื้อนในการเลี้ยงดู  อ้ายทู่หงอยเหงาลงอย่างมากเมื่อพวกพ้องของมันหายหน้าไป  มันเป็นควายงานตัวกลั่น  เมื่อไม่ได้เทียมแอกในยามหน้าไร่หน้านา มันหงุดหงิดงุ่นง่าน  แม้ร่างกายขี้ริ้วปานใด  แต่เรี่ยวแรงของมันยังมีมหาศาลไม่แพ้วัวอสุภราชหรือควายหนุ่มปราดเปรียวตัวไหนในหมู่บ้าน  ชีวิตอ้ายทู่พลีแด่ตู้ฤทธิ์เพียงคนเดียว  มันจึงไม่ยอมฟังคำสั่งใครอีกแม้แต่ยายเยื้อน  อ้ายทู่เคยแล่นเตลิดออกจากคอกกลางดึกเพราะถูกงูเหลือมเข้ากวน  แต่ไม่กี่วันมันหวนกลับมาที่คอกอีก  และกลายเป็นควายขี้หงุดหงิด  อ้ายทู่เคยลากยายเยื้อนหกคะมำแข้งขาถลอกปอกเปิกเสียหลายหน  ยายเฒ่าจึงไม่ปล่อยมันจากคอก  เพียงแต่ไปเกี่ยวหญ้าแถวข้างบ้านกับหิ้วน้ำมาให้มันกินตามมีตามเกิด  สายฝนยังกระหน่ำหนัก  สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงตรงไหนสักแห่งไม่ไกลนัก  ยายเยื้อนนั่งตัวสั่นเทาอยู่ใต้ถุนบ้านข้างคอกควาย  อ้ายทู่กระวนกระวายหนักเหมือนรับรู้อะไรบางอย่างซึ่งแปลกไปจากเดิม  ในท่ามกลางพายุอุกกานั้นนั่นเองตู้ฤทธิ์ก็กลับมา  ลูกชายของแกเดินฝ่าสายฝนถึงบ้านกลางดึก  ด้วยสภาพของคนเสียสติ  เสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงหนวดเครารุงรัง  ตู้เดินตีนเปลือยมาจากไหนไม่มีใครรู้  หากขณะนี้ยืนนิ่งอยู่กลางลานบ้านโดยไม่กริ่งเกรงต่อพายุคลั่ง  ฟ้าแลบแปลบปลาบสะท้อนดวงตาแข็งกร้าวค้างเบิกและโครงหน้าที่แคบตอบเข้าด้วยแผงเคราเรื้อรก  ตู้ฤทธิ์ยืนท้าทายสายฝนนิ่งอยู่ที่เดิมทั้งคืน  ยายเยื้อนนั้นรับรู้การมาถึงของลูกชายเอาเมื่อตอนเช้าที่พายุสงบลง  แต่สายไปเสียแล้ว  สติสัมปชัญญะของตู้ฤทธิ์บิดผันไม่อยู่กับร่องกับรอยเสียแล้ว  เท่ากับว่ายายเยื้อนได้เสียลูกชายคนเดิมของแกไปตลอดกาล  ตู้ฤทธิ์ล้มหมอนนอนเสื่อซมไข้อยู่นานนับเดือน  ยายเยื้อนต้องรักษาลูกชายอย่างอนาถาด้วยรากไม้  ยาต้ม  ก้อนประคบ ตามความรู้ขาดๆ เกินๆ ของแก  ยายเยื้อนไม่มีที่อิงอาศัยอีกแล้ว  ใบหน้าใช่มีเพียงริ้วรอยชราภาพ  หากแต่เปลี่ยนแปลงไปเป็นสีหน้าดำคล้ำอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา  เป็นใบหน้าแห่งความทุกข์เทวษอย่างยิ่ง  ยากที่ผู้พบเห็นจะไม่หลั่งน้ำตา  เมื่อตู้ฤทธิ์หายจากอาการทุรนทุรายด้วยพิษไข้  จึงเริ่มออกเดิน  ทว่าคราวนี้ไม่ไปไกลเกินขอบเขตของหมู่บ้าน  ตู้เดินระหว่างท้ายบ้านหัวบ้านวันละหลายรอบ  ระหว่างก้าวอย่างเอื่อยเฉื่อยปากก็พร่ำพูดถึงเมียรัก  บางคราดัดเสียงเป็นผู้หญิงคุยโต้ตอบกับตน  บางวันกักขังตัวเองบนบ้านไม่ขยับตัวไปไหน  ทรัพย์สมบัติชิ้นสุดท้ายคือบ้านและผืนดินเท่ากระบิมือจึงเสื่อมโทรมเศร้าซบไร้ชีวิตชีวา  บางวันตู้ยืนดูควายตัวสุดท้ายด้วยดวงตาดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ  ในวันที่ตู้ฤทธิ์คุ้มคลั่งหนัก  ยายเยื้อนได้แต่นั่งหดตัวอยู่ห้องใต้ถุนบ้านอย่างตื่นขลาด  ฆ่ามัน  ฆ่ามัน  ฆ่ามัน  ตู้ฤทธิ์ร้องตะโกนคว้ามีดวิ่งลงจากบ้าน  ในค่ำคืนที่พายุอุกกาอาละวาดกวาดหลังคาบ้านหลายหลังปลิวว่อน  เสียงเดือดดาลราวกับคุมแค้นสิ่งใดมานับนาน  อ้ายทู่ร่ำร้องดิ้นสะบัดตัวหนีมัจจุราชในมือของเจ้านายมัน  คมมีดฟันลงตรงผิวหนังหยาบกร้านอย่างไม่ยั้ง  ชิ้นเนื้อฉีกแล่งกระเด็นคละคลุ้งกลิ่นคาวเลือด  ตู้ฤทธิ์คำรามด้วยความเดือดแค้นขณะบั่นคออ้ายทู่สหายรักของตนที่ไร้หนทางสู้  เสียงคมมีดกระทบก้อนเนื้อ  เสียงสับเลาะกระดูกดังเลื่อนลั่นรุกรานโสตประสาทยายเยื้อน  แกกรีดร้องอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส  หัวใจแหลกสลายราวกับความเป็นคนจะป่นมลายลงเดี๋ยวนั้น  ตู้ฤทธิ์หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและมีชัย  ทิ้งมีดลงพื้น แยกหัวอ้ายทู่ออกจากตัว  จับเขาทู่ทื่อของมันชูขึ้นเหนือหัว  คลั่งคำรามอย่างสะใจเหลือหลาย  หยดเลือดจากคอซึ่งถูกบั่นหยาดไหลลงอาบใบหน้าตู้ฤทธิ์ที่กำลังแลบลิ้นเลียเลือดเข้าปากราวหิวกระหาย  ฟ้าแลบแสงวาบถี่กระชั้น  ยายเยื้อนเห็นเสี้ยวหน้าของลูกชายปรากฏขึ้นก่อนหายไปกับความมืดและปรากฏขึ้นอีกอยู่เช่นนั้น  บัดนี้ใบหน้าของลูกชายแกบิดเบี้ยวแสยะยิ้มปานอสูรกายผู้ดื่มเลือดเพื่อหวังรักษาความวิปลาสของตัวเอง  ขณะยืนตระหง่านอยู่ในคอก มือชูหัวอ้ายทู่อันสั่นสะท้านนั้น  ตู้เห็นมันเป็นหัวเมียรักผู้ร่านราคะ  ตู้ฤทธิ์เห็นมือของตนเองจิกลงบนหนังหัวของหญิงแพศยา  เห็นดวงตาเหลือกลานค้างตายของอ้ายทู่เป็นดวงตาเหลือกลานค้างตายของหญิงสำส่อน  เห็นลิ้นสีม่วงคล้ำแลบพาดข้างปากของอ้ายทู่เป็นลิ้นของเมียผู้มักมากในกาม  ตู้ฤทธิ์หัวเราะร่วนทั้งหน้าตาเนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยโลหิต  ซดกินเลือดซึ่งหลามไหลลงมาราวกับดื่มน้ำอมฤต  กัดกินเนื้อสดๆ ราวกับมังสาหารจากสรวงสวรรค์  ด้วยความรู้สึกสาใจและสมแค้นเป็นอย่างยิ่ง

       หลังจากผ่านห้วงเวลาแห่งวิกฤตครานั้นมาแล้ว  หลังจากบั่นคออ้ายทู่สหายรักในคืนแห่งพายุอุกกานั้นแล้ว  ตู้ฤทธิ์คลายพิษสงลงไปมาก  ดูเหมือนความคุ้มคลั่งจะมลายหายไปอย่างน่าอัศจรรย์และแทนที่ด้วยความรู้สึกตัว  ตู้ฤทธิ์ปฏิบัติต่อยายเยื้อนดังเดิม  เพียงแต่ไม่ทำไร่นาเหมือนแต่ก่อน  ลูกชายยายเยื้อนหาบน้ำผ่าฟืนได้เป็นปรกติ  ปลูกกล้วยปลูกพริกและพืชผักพอประทังชีวิตสองแม่ลูก  บางวันตู้ฤทธิ์ออกไปรับจ้างรายวันดายหญ้าในไร่ของเพื่อนบ้านบ้าง  และหากวันใดอาการกำเริบ  ตู้จะซึมเศร้าเก็บตัวแต่ในห้อง  เป็นเช่นนั้นอยู่หลายปี  สองแม่ลูกหาได้สะดวกสบายในเรื่องกินอยู่เหมือนแต่ก่อนไม่  ตรงกันข้ามกลับแร้นแค้นมากยิ่งขึ้น  ยายเยื้อนยังแบกทุกข์ไว้เช่นเดิม  แต่ก็เบาใจลงไปมากด้วยหมดห่วงเรื่องอาการอาละวาดของลูกชาย  ซึ่งไม่เกิดขึ้นอีกเลยหลังจากคืนวันนั้น  กระทั่งบัดนี้  ยามที่หมู่บ้านเปลี่ยนไป  ยายเยื้อนยังจมอยู่กับโลกใบเก่าครึคระของแก กับความทุกข์ยากอันไม่ยี่หระต่อสังขารซึ่งเสื่อมโรยลงแม้แต่น้อย  หากเรื่องที่หวั่นวิตกฝังลึกอยู่ในใจก็กลับมาหลอกหลอนแกอีกครั้ง  ตู้ฤทธิ์ซึ่งนิ่งเงียบมาหลายปีได้เอ่ยขึ้นกับผู้เป็นแม่  ตู้พูดถึงหมอครูปู่ฟ้าคร้ามบรมครูจอมขมังเวทขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  ตู้ฤทธิ์เล่าความฝันถึงหมอผีคำฝาน  ศิษย์นอกรีตของปู่ฟ้าคร้ามราวกับเคยเห็นด้วยตาตนเอง  ความฝันซึ่งชวนประหวั่นหวาดว่าคำสาปของเฒ่าคำฝานกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า  หญิงชราคนสุดท้ายของหมู่บ้านจะต้องตายโหงอย่างน่าสมเพช  หลังจากนั้นวิกฤตกาลจะเกิดขึ้นในหมู่บ้านและแผ่นดินจะลุกร้อนเป็นไฟ  ตู้ฤทธิ์พร่ำพูดกับแกราวถูกประทับทรง  วิญญาณของหมอครูปู่ฟ้าคร้ามได้เตือนเหตุร้าย  อันเกิดขึ้นจากเดรัชฉานวิชาที่ยายเฒ่าคำฝานแอบลักเรียนละเมิดข้อห้ามศักดิ์สิทธิ์  และใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำชำระแค้น  ความฝันของชายวิปลาสอาจถูกเย้ยหยันไยไพจากผู้อื่น  แต่กับยายเยื้อนแล้วคือคำเตือนอย่างยิ่งยวด  ตัวแกเทิ้มสะท้านน้ำเสียงสั่นเครือประนมมือท่วมหัว  ตู้ฤทธิ์เล่าว่าในฝันนั้น  ปู่ฟ้าคร้ามบอกให้เขาเข้าไปเอาอาวุธชนิดหนึ่งที่มีฤทธานุภาพ  เพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกันความชั่วร้ายให้แด่แม่ของตัว  ดังนั้นวันพระแรมแปดค่ำ  ตู้ฤทธิ์จึงออกเดินทางแต่เช้า มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่ปู่ฟ้าคร้ามบอกไว้ในความฝัน ลูกชายยายเยื้อนออกย่ำเท้าไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย  โดยมีสายตาฝ้าฟางของแม่ผู้ชราจับจ้องอยู่อย่างทอดอาลัย  ระยะนี้แกเองต้องระมัดระวังตัวอย่างเข้มงวด  คำสาปหมอผีคำฝานมาดร้ายกับแก  รอจังหวะพรากชีวิตปลิดวิญญาณแก  หลายครั้งยายเยื้อนหวาดระแวงรอบตัว  รู้สึกราวกับมีดวงตาแห่งความมืดกำลังเขม้นมอง ทุกอิริยาบถซึ่งเคลื่อนไหวแกจำต้องระแวดระวังเป็นพิเศษ  นั่นทำให้แกคิดเตลิดไปไกล  ใจเสียอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  กองผ้าที่วางสุมอยู่ในลังกระดาษอาจมีแมงป่องแม่ลูกอ่อนพิษร้าย  ซุกซ่อนเฝ้าระวังศัตรูอยู่ยามที่แกคุ้ยเอาผ้าไปซัก  พิษสงจากเข็มแหลมตรงปลายหางอาจเจ็บปวดพอทนสำหรับคนหนุ่มสาว แต่สำหรับแกแล้ว  ถูกต่อยเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงชีวิตก็เป็นได้  ทุกสิ่งรอบตัวล้วนเต็มไปด้วยอันตราย  แมงมุมแม่ม่ายที่ขยุ้มใยดักเหยื่ออยู่ตามข้างฝาบ้านนั้นเล่า  ขณะแกคลำเปะปะเงอะงะพยุงตัวเดิน  มันอาจกัดแกเข้าที่มือ  พิษของแมงมุมอำมหิตตัวนั้นอาจทำให้แกถึงกับตัวชาหัวใจหยุดเต้นชั่วขณะล้มลงหัวฟาดพื้น  หรือหากไม่ตายในทันทีแกอาจนอนตัวแข็งหายใจไม่เข้าไม่ออก  ตายอย่างทุกข์ทรมานและน่าทุเรศ  ดงหญ้าในสวนกล้วยนั้นเล่า  ยามแกเข้าไปตัดปลีกล้วยมาสับใส่ห่อหมก  ยามแกเข้าไปตัดต้นกล้วยเอาหยวกมาแกง  งูพิษกระหายเลือดอาจรอแกอยู่แล้วอย่างเงียบเชียบ  มันอาจเลื้อยผ่านหลังตีนไปโดยแกไม่รู้ตัว  เฝ้ารอจังหวะจะฉกฝังเขี้ยวโง้งคมกริบลงตรงข้อเท้าแก  และหากอสรพิษนั้นเป็นจงอางหวงไข่เข้าเล่า  มันอาจฉกแกเข้ากลางหน้าผากก็เป็นได้  กระทั่งเมื่อแกล้มลงขาดใจตายแล้วยังไม่หนำใจ  มันอาจนึกขึ้นว่ากูจะกินอีแก่นี่ได้หรือเปล่านะ  รสชาติมันจะอร่อยกว่างูตัวอื่นที่เคยกินหรือเปล่า  เมื่อไม่สามารถกินได้ทั้งตัว  มันอาจฉกกินดวงตาของแกขยอกกลืนอย่างตะกละตะกลาม  กระทั่งงูเหลือมตัวซึ่งเข้าไปกวนอ้ายทู่ครั้งมันยังมีชีวิตอยู่ก็ป้วนเปี้ยนในดงหญ้าละแวกนั้น  มันอาจเลื้อยผ่านมาพบแกเข้าโดยบังเอิญในช่วงกำลังหิวโซ  มันคงเลื้อยไต่ขึ้นไปบนต้นไม้เหนือหัวแกอย่างประสงค์ร้าย  เมื่อได้โอกาสก็ใช้หางพันกิ่งไม้ไว้ค่อยๆ หย่อนตัวยื่นหัวอันเทอะทะลงมา  อ้าปากแสยะเขี้ยวที่คมดุจฟันเลื่อยงับฉับตรงลำคอแก  กรามอันทรงพลังของมันคงสะบัดบดกระดูกคอของแกจนแหลกเป็นผงในชั่วพริบตา  จากนั้นมันจึงทิ้งตัวอันหนักอึ้งลงทับร่างที่ยืนโงนเงนจนทานน้ำหนักไม่ไหวกระทั่งล้มคว่ำลง  มันเกี้ยวกระหวัดรัดตัวเข้าจนกระดูกกระเดี้ยวแกแหลกลาญ  และเมื่อเห็นว่าแกนิ่งไร้หนทางขัดขืนแล้ว  ไอ้งูเหลือมก็จะปลดฟันกรามให้เป็นอิสระ  เขมือบหัวแกเข้าไปก่อน  ค่อยๆ กระเดือกร่างแกเข้าท้องทีละนิ้วทีละคืบขณะเหยื่ออาจยังไม่ตายสนิท  ดวงตาของแกอาจยังเบิกโพลงอยู่ขณะการสังหารอันเหี้ยมเกรียมดำเนินไปอย่างเชื่องช้า  จวบจนทั้งร่างของแกเข้าไปอยู่ในท้องมันและถูกน้ำย่อยละลายหนังละลายกระดูก  ช่างน่าหวาดผวาเสียจริง ช่างชวนสยองแสยงอะไรเช่นนี้  ยายเยื้อนนิ่งขึงด้วยความสะพรึงกลัวเภทภัยต่างๆ นานาเมื่อใจแกเพริดไปถึง  แกนั่งตัวสั่นงันงกอยู่เพียงลำพัง  จิตใจไพล่คิดถึงลูกชาย  หลายวันผ่านไปยายเยื้อนนั่งนิ่งเหมือนปูนปั้น  ทอดสายตาผ่านสายฝนพร่างพราย  ฝนตกติดต่อกันมาสามวัน  สรรพสิ่งดูเฉื่อยเนือยไปหมด  ไก่โต้งหางเหลืองดอกบวบยืนนิ่งย่นคอสั่นดิกๆ  ขนสีเขียวขุ่นที่คอมันเปียกซก  ไก่ตัวอื่นก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน  นานๆ ทีนกเอี้ยงปีกสีเทาตัดขาวจะโฉบจากต้นรังลงพื้นชั่วครู่  แล้วโผขึ้นต้นตะโกซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก บนท้องฟ้าไม่มีนก ชนิดต่างๆ บินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างเคย  บรรยากาศซึมเซา  ทั่วทั้งเวิ้งฟ้ากลายเป็นสีเทาเข้ม  หลายสิบปีแล้วที่แกขาดการติดต่อกับโลกภายนอก  บ้านไม้หลังเก่าไม่มีโทรทัศน์  ไม่มีวิทยุ  ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวกอื่นใดเลย นอกจากหลอดนีออนซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นฝ้าและหยากไย่จับเขลอะเปล่งแสงมัวซัวเพียงหลอดเดียวบนบ้าน  แกหารู้ไม่ว่าหมู่บ้านที่แกอาศัยมาแต่อ้อนแต่ออก บัดนี้ถูกแบ่งแยกเป็นสองเสียแล้ว  หนองขามเหนือและหนองขามใต้  แกถูกจัดให้เป็นคนของหมู่บ้านหนองขามใต้โดยไม่รู้ตัว  แกหารู้ไม่ว่าสาเหตุที่หมู่บ้านถูกแบ่งเป็นสอง  เพราะจำนวนคนต่างถิ่นได้อพยพมาอยู่มากมาย  ปริมาณครัวเรือนเพิ่มขึ้นกระทั่งมีการแบ่งเป็นฝักฝ่าย  คนรุ่นใหม่สองก๊กแข่งขันกันอยู่ในที  กระทั่งจู่ๆ ก็มีเงินหล่นโครมลงมาในหมู่บ้านนับล้านบาท  แกไม่รู้หรอกว่าเงินนับล้านบาทนั้นทำให้หมู่บ้านที่แกอาศัยมาแต่อ้อนแต่ออกต้องถูกแบ่งเป็นสอง  ปัญหาการแย่งกันบริหารเงินที่หล่นโครมลงมานั้น  ลงเอยด้วยการหั่นหมู่บ้านออกเป็นสองซีกเพื่อหวังเงินซึ่งจะหล่นเพิ่มมาอีกสักโครมสองโครมเป็นที่สุขสมหวัง  แกไม่รู้หรอกว่าหลังจากนั้นไม่นานชาวบ้านทุกครัวเรือนต่างติดหนี้สินรุงรัง  แกไม่รู้หรอกว่าไอ้เสียงที่ดังเป็นจังหวะเพลงแปลกหูตอนเข้าใต้เข้าไฟ  ตรงนั้นบ้างตรงโน้นบ้างมันคือเสียงซึ่งมีต้นสายมาจากอะไร  ไอ้เสียงที่ดังเป็นจังหวะเพลงและจบลงด้วยเสียงฮัลโหลดังลั่นทุกครั้งมันคืออะไร  แกไม่รู้หรอก  และแกก็สงสัยเหลือเกินว่าหลายเดือนมานี้ทำไมพระจึงไม่ลงมารับบิณฑบาตเหมือนอย่างเคย  ช่วงหนึ่งนั้นหลายวันทีเดียว  ยายเยื้อนจำต้องบอกขายโอ่งแดงรองน้ำฝนลูกที่สอง เพื่อใช้เงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อ  แล้วแกก็เศร้าสลดอย่างเข้าใจไม่ได้ว่า  เหตุใดข้าวสารที่หุงกินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันถึงได้แพงหนักหนา  ยายเยื้อนพนมมือต่อหน้าเด็กรุ่นเหลนซึ่งแบกข้าวสารมาส่ง  ปากแกบิดเบี้ยวพร่ำพูดทั้งน้ำตา  เมื่อก่อนไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้หนอ  ขอโทษด้วยลูกหลาน  ขอพึ่งพาอาศัยด้วยเถิด  ขอให้เจริญๆ เถิด  แกยกมือไหว้ปรกๆ หลังจากต้องเดินเป็นระยะทางไกลเพื่อขอแบ่งซื้อข้าวกับชาวบ้านที่มีนา แกหารู้ไม่ว่าลูกสาวทั้งสามคนมีข้าวเปลือกใส่กระสอบปุ๋ยสองสามร้อยลูกอัดอยู่เต็มยุ้ง  แกไม่รู้หรอกว่าเพียงเศษข้าวก้นยุ้งของลูกสาวทั้งสามจะทำให้แกมีข้าวกินไปตลอดทั้งปี  ตอนนี้ยายเยื้อนมีข้าวสารอยู่เต็มถังและยังมีโอ่งแดงเหลืออีกหนึ่งใบ  ช่วงแกเที่ยวเดินขอซื้อข้าว แกหารู้ไม่ว่า  เจ้าอาวาสแห่งวัดเทพานิวาสรู้สึกขุ่นเคืองแค่ไหน  ที่ชาวบ้านหนองขามใต้ไม่สนใจจะใส่บาตรพระ  เจ้าอาวาสพาสังขารแก่หง่อมไปเซ็นบุหรี่กับกาแฟในร้านค้าบ้านหนองขามเหนือ  ท่านเป็นลูกค้าชั้นดีของร้านแม้จะเซ็นหลายร้อยแล้ว  หากเจ้าของร้านก็เชื่อมั่นว่าท่านและพระลูกวัดของท่านจะออกเรี่ยไรข้าวสารกับเงิน  และเอามาใช้หนี้อย่างไม่บิดพลิ้วเหมือนทุกครั้ง  ในร้านค้าซึ่งพลุกพล่านนั้น  ท่านบ่นให้ชาวบ้านฟังหลายเรื่อง  ท่านพูดว่าชาวบ้านหนองขามใต้ไม่สนใจใส่บาตรพระกันแล้ว  ท่านจึงตัดสินใจสั่งพระลูกวัดให้งดรับบิณฑบาตที่บ้านหนองขามใต้อีกต่อไป  ยายเยื้อนไม่รู้หรอกว่า  เจ้าอาวาสกำชับกับพระลูกวัดไว้ว่า  พระรูปไหนไปรับบิณฑบาตบ้านหนองขามใต้ไม่ต้องมาอยู่วัดกู  จะไปทำไมหมู่บ้านไม่กินไม่ทานอย่างนั้น  เจ้าอาวาสยังบ่นให้คนในร้านขายของชำฟังต่อไปอีกว่า  เสียแรงที่ท่านอุตส่าห์ย้ายมาแทนเจ้าอาวาสรูปเก่าเพื่อโปรดทายกทายิกา เมื่อชาวบ้านในร้านค้าเอ่ยถามถึงหวยงวดต่อไป  ท่านก็เล่าความฝันอันพิลึกพิลั่น ให้ฟังแล้วก็สำทับด้วยคำปรามาสว่า  ให้มันรู้กันไป  ศาลใต้ต้นก้ามปูที่เพิ่งถูกสายฟ้าถล่มใส่กับท่านใครจะให้เลขแม่นกว่ากัน  และคำปรามาสนั้นก็เป็นที่ฮือฮาของชาวบ้านยิ่งนัก  นอกจากเซ็นของที่ร้านค้าแล้ว  ท่านก็ยังเซ็นหวยกับเจ้ามือรายย่อยในหมู่บ้านอีกด้วย  และเจ้ามือหวยก็เชื่อมั่นว่า  ท่านกับพระลูกวัดของท่าน  จะออกเรี่ยไรเงินและข้าวสารเอามาใช้หนี้อย่างไม่บิดพลิ้วเหมือนทุกครั้ง 

 

     ยายเยื้อนไม่รู้หรอกว่าบ้านหลังที่แกอยู่กับลูกชายนั้น  ลับหลังถูกนินทาว่าร้ายอย่างไร  แกไม่รู้หรอก  ตู้ฤทธิ์ถูกชาวบ้านร่ำลือกันขรมว่าตายมาตั้งนานแล้ว  เห็นมีชีวิตอยู่ได้เพราะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงสู่  หลายครั้งหลายหนเด็กต้อนฝูงวัวผ่านข้างรั้วบ้านของยายเยื้อนไปเลี้ยงที่กลางทุ่งนั้น  นำเรื่องชวนขนลุกขนพองไปเล่าให้คนในหมู่บ้านฟัง  เด็กเลี้ยงวัวเล่าว่าบางวันขณะนั่งใช้ปลายหญ้าแหย่จิ้งหรีดเล่นอยู่แถวนั้นเพียงลำพัง  ได้ยินเสียงโครมครามในรั้วบ้านยายเยื้อน  ไอ้เด็กคนนั้นเลยแอบย่องเข้าไปดูใกล้ๆ  พบว่าตู้ฤทธิ์กำลังก่นด่าแม่ของตัวเองอย่างหยาบคาย  ไอ้เด็กนั่นเห็นตู้ถึงกับลงไม้ลงมือตบตีแม่และยังยกตีนถีบแม่บังเกิดเกล้าจนเซแทดๆ ไปกะตา  บางครั้งไอ้เด็กน้อยเห็นตู้ฤทธิ์เข้าไปในคอกไก่แล้วกลับออกมาพร้อมกับมีรอยเลือดเปรอะเต็มปาก  มันยังเล่าอีกว่า  เย็นย่ำโพล้เพล้วันหนึ่งมันต้อนฝูงวัวกลับบ้านช้ากว่าปรกติ  โดยจำเป็นต้องผ่านข้างบ้านของยายเยื้อน  บังเอิญมันเงยขึ้นไปบนต้นมะม่วงป่าสูงใหญ่ข้างบ้านยายเฒ่า  ไอ้เด็กนั่นมันเล่าด้วยความระทึกใจในน้ำเสียงตื่นตระหนก  เมื่อถึงตอนเห็นยายเยื้อนปีนขึ้นต้นมะม่วงป่าอย่างรวดเร็ว  โหนกิ่งหนึ่งแล้วกระโดดตัวปลิวเหวี่ยงแขนไปเกาะอีกกิ่งหนึ่งอย่างคล่องแคล่วราวกับชะนี  เด็กเลี้ยงวัวเล่าต่อด้วยน้ำเสียงขาดห้วง  ขณะตัวมันกำลังยืนตะลึงพรึงเพริดอยู่นั้น  ยายเยื้อนค่อยๆ หันมาเห็นมันพอดี  แก้วตายายเยื้อนส่องประกายสีแดงเลือด  ขณะแสยะยิ้มนั้นซากนกแขกเต้าก็ล่วงลงจากปาก  มันเล่าเป็นตุเป็นตะตะพึดตะพือไป  บางคนไม่เชื่อ บางคนก็เชื่อซ้ำยังเล่าสมทบกันเข้าไปอีก  แต่ดูเหมือนเรื่องราวลึกลับเหนือธรรมชาติของครอบครัวยายเยื้อนกับตู้ฤทธิ์จะถูกกล่าวถึงบ่อยครั้ง  กระทั่งเมื่อพูดถึงบ้านหลังสุดท้ายนั่นแล้ว  ลูกเล็กเด็กแดงซึ่งโยเยดื้อด้านก็หุบปากเงียบสนิท  ยายเยื้อนไม่รู้หรอกว่าเหตุใดลูกสาวทั้งสามจึงได้ห่างเหินจากแกนัก  แกไม่ได้รับรู้ถึงความอับอายของลูกสาวที่มีต่อแก  แกไม่รู้หรอก ว่าสังคมนอกรั้วบ้านกำลังบ่าไหลเชี่ยวกรากไปสู่ขั้นแตกหักอย่างไร  กระทั่งแกไม่รู้หรอกว่าบัดนี้หนึ่งในเหลนของแกซึ่งไม่เคยเห็นหน้าค่าตา  ได้ให้กำเนิดบุตรชายซึ่งมีฐานะโหลนเป็นเวลาสามปีครึ่งแล้ว  โหลนคนล่าสุดของแกชื่อไอ้ซานโตส  พ่อของมันเคยเป็นนักมวยดาวรุ่งมีชื่อ และล่วงพับดับลงเพียงไม่นานเพราะพ่ายแพ้ต่อพิษโยนี แต่พ่อของไอ้เด็กซานโตสก็มีความฝันอย่างแรงกล้า  ที่จะปลุกปั้นลูกชายให้เป็นนักมวยผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต  เด็กซานโตสผู้แปลกประหลาดและเป็นอัจฉริยะผิดเด็กรุ่นเดียวกันในหมู่บ้านหลายขุม  ผิวมันดำเมี่ยม หัวใหญ่หน้าผากนูนพ้นคิ้วออกมา  ดวงตาดุดัน  ปากบางเฉียบ  มันไม่เคยเดินเหมือนเด็กคนอื่น  เวลาไปไหนมาไหนมันยืนขึ้นและวิ่งอย่างเร็วสุดกำลังของมันแม้ในระยะทางใกล้ๆ  ค่าที่มันวิ่งตลอดทำให้ก้นมันแข็งเป้กเนื้อตัวมันแน่นปั่ก  พ่อของไอ้ซานโตสผูกกระสอบปุ๋ยใส่นุ่นปนทรายให้มันเตะเล่นทุกวัน  หมัด  ตีน  เข่า  ศอก  ได้ใช้งานอย่างสม่ำเสมอ  มันเป็นเด็กสามขวบครึ่งที่อหังการ์เหลือเกิน  เกะกะระรานและชาญฉลาดเหลือหลาย  ทำให้มันไม่กลัวใครแม้แต่ผู้ใหญ่ซึ่งตัวสูงกว่ามันเป็นเมตร  มันสามารถจดจำคำพูดของผู้ใหญ่ได้ทุกกระเบียดนิ้ว  สรรพนามที่ไอ้เด็กซานโตสเรียกผู้หญิง  แม้แต่แม่ของมันแม้แต่ย่ายายของมันคือ อี และอีกเช่นกัน  มันเรียกผู้ชายทุกคนว่าไอ้  แม้แต่พ่อของมันก็ไม่ถูกละเว้น  มันสามารถด่าพ่อว่าไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอนได้อย่างหน้าตาเฉยโดยไม่ถูกทำโทษ  มันเย้ยหยันวัยรุ่นในหมู่บ้านอยู่เสมอ  มันพูด  เอแอ๊นมด  บีแบทค้างคาว  ซีแคทแมว  ดีด้อกหมา ใส่หน้าพวกวัยรุ่นเสมอๆ เพื่อโอ้อวดความกาจกล้าเกินเด็กของมัน  มันขว้างหัวหมาด้วยก้อนหิน  ด่าแม่คนอื่นเป็นว่าเล่น  และมือไวขว้างไข่ในร้านขายของชำทิ้งอย่างไม่อินังขังขอบ  สมัญญาเด็กผี  เด็กเปรต  ได้มาด้วยพฤติกรรมของมันเอง หลายครั้งมันท้าผู้ใหญ่ซึ่งอายุมากกว่าพ่อของมันอีกให้ออกไปชกกันที่ถนน โดยมันวิ่งออกไปยืนรออยู่ก่อนแล้วกวักมือท้าทาย  เมื่อพ่อของมันไปทำงานเป็นคนล่อเป้าให้ค่ายมวยดังในกรุงเทพฯ โดยทิ้งมันไว้กับแม่และยาย  นานเข้าพวกวัยรุ่นซึ่งเป็นคู่อริกับไอ้ซานโตสต่างก็ยุแยงมันว่า  พ่อมึงไปกรุงเทพฯ มีเมียน้อยไม่กลับมาแล้ว  ไอ้ซานโตสคิ้วย่นและโกรธจัดและหัวฟัดหัวเหวี่ยง  มันรี่เข้าบ้านบังคับให้แม่โทรหาพ่อในทันที  เป็นไงบ้างล่ะลูก  เสียงปลายสายพูดอย่างอารมณ์ดี  มึงไม่ต้องมาพูดดีไอ้ต๊ะ  มึงไม่ต้องกลับมาหากูเลย  ไอ้ซานโตสตะคอกใส่พ่อ ฟากพ่อมันก็ไม่พอใจ  ทำไมมึงพูดกับพ่ออย่างนี้ไอ้ซานโตส  กูเป็นพ่อมึงนะ  ไอ้ต๊ะ  มึงมีเมียน้อย  มึงไม่ต้องกลับมาหากูเลย  พ่อมันก็ไม่ลดละ  มึงพูดอะไรหาไอ้ซานโตส  เดี๋ยวกูก็ไม่ซื้อรถตักดินให้มึงเล่นหรอก  มึงไม่ต้องซื้อมาให้กูเลย  กูไม่อยากได้  ยิ่งมันพูดถ้อยคำหยาบคาย  พวกผู้ใหญ่ก็พากันหัวร่องอหาย  มันยิ่งด่า  พวกเขายิ่งหัวเราะ  มันจึงคิดว่าสิ่งที่มันพูดนั้นถูกต้อง  ไอ้ซานโตสกลายเป็นเด็กสามขวบครึ่งซึ่งอันตรายที่สุดในหมู่บ้าน  โดยไม่มีใครคิดห้ามปราม  หรือสนใจกับพฤติกรรมเหลือขอของมัน  ยายเยื้อนไม่รู้หรอกว่าในหมู่บ้านของแกซึ่งอยู่มาแต่อ้อนแต่ออกนั้น  บัดนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้งเหลือประมาณ  ตั้งแต่ศาลปู่ตาถูกย้ายจากหัวนาของผู้ใหญ่บ้านคนเก่าไปอยู่ใต้ต้นก้ามปูโบราณ  ในที่ดินของผู้ใหญ่บ้านคนใหม่  ก็เกิดการชิงมวลชนขึ้นระหว่างพระกับผี  ช่างทำว่าวดุ๋ยดุ่ยติดธนูเสียงไพเราะคนสุดท้ายของหมู่บ้าน  เลิกทำว่าวไปแล้วเพราะลูกชายคนสุดท้องได้ผัวเป็นฝรั่งชาวยุโรปตัวโตเหมือนยักษ์ปักหลั่น  ผมทองผิวแดงแจ๋เมื่อต้องแสงแดดจัดจ้า  ไอ้ฝรั่งมาปลูกบ้านทรงยุโรปใหญ่โตเหมือนป้อมปราการรบกลางผืนนาเปลี่ยวว้าง  วันดีคืนดี  เสียงทะเลาะเบาะแว้งของไอ้ฝรั่งผู้สมมุติตัวเองเป็นผัว  กับลูกชายช่างทำว่าวดุ๋ยดุ่ยผู้สมมุติตัวเองเป็นเมียก็ดังลั่นทุ่ง  ไอ้ฝรั่งมังค่าก็ด่าเป็นภาษาของมันโขมงโฉงเฉง  ไอ้ผู้เมียก็ด่าด้วยภาษาไทย ต่างคนต่างสาดคำด่าภาษาของตนด้วยสำเนียงเสียดเย้ยเจ็บแสบใส่กันลั่นทุ่ง แต่ไม่เท่าไหร่ทั้งคู่ก็ไปขอลูกคนอื่นมาเลี้ยง  สมมุติว่าเป็นลูกซึ่งออกมาจากครรภ์ของไอ้ผู้เมียเป็นที่สุขใจ  ยายเยื้อนไม่รู้หรอกว่าอยู่ท่ามกลางเรื่องอะไรบ้าง  เรื่องฉาวโฉ่ในหมู่บ้านเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ลูกสาวคนสวยของเจ้ามือหวยบารมีได้ผัวเป็นคนที่สิบเอ็ดแล้ว  อีกเพียงคนเดียวเท่านั้นเองก็จะครบหนึ่งโหล  และทุกครั้งชาวบ้านต่างเก็บเอาไปซุบซิบนินทาเป็นเรื่องสนุกปาก  ในวงนินทาของบรรดาหญิงๆ ผู้ต้องอยู่กับบ้านเลี้ยงลูกขณะผัวไปทำไร่นาก็พูดกันอย่างเข้มข้น  ค่อนแคะไปทางลูกสาวคนสวยของเจ้ามือหวยบารมีนั้นมากสุด  เนื่องจากตนๆ ในกลุ่มไม่มีใครหน้าตาพอดูได้สักคน  ต่างปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนอ้วนเผละ  เนื้อหนังที่เคยเต่งตึงก็ฟุฟ่ามห้อยคล้อยไม่น่าดู  สิ่งซึ่งมาทดแทนความเต่งตึงก็คือน้ำเสียงส่อเสียดสะใจ  แก่ไปทางนินทาว่าร้ายประเภทเห็นความล้มเหลวของคนอื่นเป็นเรื่องตื่นเต้นต่อการตีฝีปากทิ่มตำ  เหล่านางๆ พูดกันน้ำลายแตกฟองว่า  ขณะลูกสาวคนสวยของเจ้ามือหวยบารมี  ซึ่งกำลังมีความสุขกับผัวคนที่สิบพร้อมด้วยลูกสาวคนล่าสุดอยู่ต่างจังหวัด  ถูกเจ้ามือหวยนั่นน่ะบังคับให้กลับบ้านด่วนโดยลำพังพร้อมทั้งจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นในบ้าน  หลังป้อนลูกสาวคนสวยเข้าปากชายแก่มีฐานะและโง่เง่าคนหนึ่ง  เพื่อเรียกสินสอดสักแสนสองแสน  ทองสักสี่ซ้าห้าบาท  ชายแก่คราวปู่ผู้มั่งคั่งมาจากแดนไกลยอมจ่ายเมื่อเข้าใจว่าจะได้และเล็มหญ้าอ่อนซึ่งงดงามเหลือหลาย  วัวแก่มักติดกับหญ้าอ่อนอย่างหน้ามืดตามัวเสมอ  หลังจากนั้นไม่ถึงสองเดือน  ลูกสาวคนสวยของเจ้ามือหวยบารมีก็หนีกลับไปหาผัวคนที่สิบ  ซึ่งหนุ่มกว่าแข็งแรงกว่า  พร้อมลูกของผัวคนที่สิบเอ็ดในท้อง หากแต่เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน  ด้วยลูกจากผัวคนที่สอง  ลูกจากผัวคนที่สาม  ลูกจากผัวคนที่หก  ลูกจากผัวคนที่เจ็ดและสิบนั้นรักใคร่เอื้อเฟื้อกันดี  ส่วนลูกของผัวคนที่สิบเอ็ดซึ่งจะคลอดในอนาคตก็คงจะรักใคร่สมัครสมานกับพี่ๆ ด้วยเช่นกัน  เหล่าแม่บ้านจับกลุ่มนินทากาเลเป็นเรื่องสะใจในอารมณ์ถึงเรื่องจริงซึ่งยิ่งกว่านิยาย  ครั้นขุดเรื่องคนโน้นคนนี้มาพูดจนฉ่ำปากแล้ว  จึงเปลี่ยนจากกลุ่มสนทนามาเป็นตั้งวงเล่นไพ่แทน  กบดำกบแดง  ป็อกเด้งจนตะวันตกดินก็ยังไม่มีใครลุกขึ้นจากวงพนัน  ลูกน้อยล้อมหน้าล้อมหลังต่างกระจองอแงหิวโหย  ผีพนันเข้าสิงจนลืมเวล่ำเวลา  ทิ้งลูกทิ้งเต้าไม่ทำกับข้าวกับปลาไว้รอท่าผัวเหมือนอย่างเคย  บ้านช่องที่เคยสะอาดสะอ้านกลับไม่สนใจดูแลจนสกปรกรกรุงรัง กระทั่งทะเลาะเบาะแว้งบ้านแตกสาแหรกขาด  ผัวหนีไปมีเมียใหม่เสียหลายครัว ชาวบ้านต่างเรียกขานบ้านสี่ห้าหลังกลุ่มนั้นว่าเมืองแม่หม้าย  และกลุ่มแม่หม้ายนี้เองซึ่งถูกชาวบ้านนินทากาเลเป็นที่สนุกปากเช่นกัน

 

    ยายเยื้อนเฝ้ารอการกลับมาของลูกชายอย่างใจจดใจจ่อ  หากมีบ้างที่จิตประหวัดถึงเรื่องราวงดงามในอดีต  สักวูบเดียวนั้นทำให้ยายเหยียดยิ้มขยายมุมปากซึ่งคว่ำงุ้มออก  เป็นความประทับใจที่นานๆ จะจรมาสักครั้ง  สมัยแกยังพอมีแรงเดินเหินได้อย่างไม่ลำบากลำบนนักนั้น  ยายเยื้อนมักนัดหมายเพื่อนๆ วัยไล่เลี่ยกัน  สะพายตะกร้าตาห่างปูก้นด้วยใบตองกับถือเสียม  พากันเดินหาเก็บเห็ดลึกเข้าไปในป่าหลังฝนขาดเม็ดไม่นาน  แกหมายเห็ดโคนขี้ไก่กับเห็ดโคนอันขึ้นสลอนตามจอมปลวก  จุดซึ่งแกได้พบในเวลาเดียวกันนี้ของปีกลาย  ระหว่างทางก็เก็บเห็ดตามขอนและกิ่งไม้หักไปเรื่อย พวกเห็ดลม  เห็ดหูลา  เห็ดมัน  เห็ดแต้ม  และที่ผุดพราวบนดินพวกเห็ดไคล  เห็ดเผาะ  เห็ดปอดม้า  เห็ดขะหลำหมา บรรยากาศหลังฝนสดสะอาด  สายฝนหมาดใหม่ซึมซอนกลมกลืนกับผืนดิน  และโชยกลิ่นอันน่ารื่นรมย์ขึ้นมา  ท่ามกลางเสียงประชันระหว่างแม่ม่ายลองไนกับอีโกร่งก้องระงมไปทั้งป่า  ทุกครั้งยายเยื้อนได้เห็ดมากกว่าใคร  แกจะลิดใบตองสักใส่เห็ดกลัดไม้ไว้เป็นห่อๆ  เพื่อแบ่งให้คนเก็บได้น้อยหรือเอาไปฝากเพื่อนบ้านด้วยเป็นประจำ  ส่วนแกเองเก็บไว้แค่พอกิน  ยายเยื้อนไม่ได้มีความสุขกับจำนวนเห็ดมากมายเท่าความสุขกับการได้เที่ยวซอกซอนหากับเพื่อนๆ  เสียงตะโกนวู้ว้ายของเหล่าเพื่อนที่กู่หากัน  หรือปะกับสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดเข้าเป็นที่ตื่นเต้นสนุกสนาน  แกเป็นสุขกับการเข้ากลุ่ม  บางปีก็นัดแนะกันไปตัดกกน้ำได้คนละหอบสองหอบ  กรีดให้ได้ขนาดแล้วตากแดดเรียงเต็มลานบ้าน  ใช้เปลือกนุ่น เปลือกกระโดน  เปลือกประดู่มาย้อมสีติดบ้างไม่ติดบ้าง  ก็ช่วยกันทอเป็นเสื่อผืนยาวไปถวายวัด  ยาวจนคนเก็บต้องม้วนกันจนหอบ  ตอนหลวงตาพันเจ้าอาวาสรูปเก่ายังไม่ละสังขาร  บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขใจ  กลิ่นอายอาถรรพ์แห่งคำสาปแช่งของหมอผีคำฝานดูเหมือนจะเสื่อมคลายไปชั่วขณะ  เนื่องจากเจ้าอาวาสรูปแรกของหมู่บ้านเป็นบรรพชิตผู้มีวัตรปฏิปทาผ่องแผ้ว  ทั้งที่เป็นเพียงพระสงฆ์ชรารูปหนึ่งเท่านั้นเอง  แต่ประกายตาเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม  ปากซึ่งเม้มสนิทนั้นเล่า  ก็พิมพ์ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ  เป็นห้วงยามซึ่งชาวบ้านเข้าวัดประพฤติธรรมมากที่สุดสมัยหนึ่งทีเดียว  เป็นห้วงยามแห่งการผ่อนคลายจากความหวาดผวาทั้งปวง  รอยยิ้มและความสดชื่นผลิบานอยู่ทุกใบหน้าของชาวบ้าน  หากทว่าช่วงกาลเช่นนั้นมิได้ทรงอยู่นาน  หลวงตาพันอาพาธจากการตรากตรำเทศนากถาธรรมและพักผ่อนน้อย  ไม่นานก็มรณภาพอย่างสงบ รับรู้กันแต่คนในวงแคบๆ ว่าสรีระสังขารของหลวงตาพันนั้นเผาไหม้แล้วเหลือเพียงเกล็ดขนาดเมล็ดข้าวเปลือก  ซึ่งล้วนแต่ใสแวววาวดุจหยดน้ำค้างบริสุทธิ์  หลังการมรณภาพของหลวงตาพัน หายนะเริ่มรุกรานหมู่บ้านอีกคำรบหนึ่ง  ส่งสัญญาณอย่างช้าๆ มาพร้อมกับผู้คนแปลกหน้าและการหักร้างถางพงรุกคืบเป็นวงกว้างออกไป  อาเพศเหตุภัยก็เริ่มสยายปีกอันอุกอาจของมันพร้อมการกลับมาของคำสาปแช่ง  วัดบ้านหนองขามถูกทิ้งร้างรกเรื้อไปด้วยวัชพืช  ห้วงสุญญากาศแห่งศรัทธากินเวลายาวนานจนชาวบ้านหันกลับไปนับถือศาลปู่ตากันอย่างแนบแน่นอีกครั้งหนึ่ง  เจ้าปู่ตาบันดาลประโยชน์โพดผลให้เหลือหลายตามความเชื่อ  มีชาวบ้านได้ลาภลอยจากการเพ่งพินิจเถ้าธูปที่โค้งงอหยักหงิก  เสี่ยงทายตาสับปะรด  ไข่ต้ม  และอื่นๆ เท่าที่แต่ละคนมุ่งเพ่งให้เห็นกันไป  ทุกงวดจะมีชาวบ้านถูกหวยเถื่อนคนสองคนเสมอ  บางครั้งถูกหวยกันยกหมู่บ้าน  เป็นที่กล่าวขวัญในความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง  แต่แล้วความศรัทธาในศาลปู่ตาใต้ต้นก้ามปูโบราณก็ถูกสั่นคลอน  ด้วยการจาริกมาของภิกษุชรารูปหนึ่งและคณะ  วัดบ้านหนองขามกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วยการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดเทพานิวาส พร้อมกับถนนลาดยางสีดำแทนถนนลูกรังแดงคล้ำสายเก่า  ความเจริญไหลพรั่งพรูตามมาจากแดนศิวิไลซ์อันแสนไกล  
     

      ยายเยื้อนนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านใกล้กับคอกควายเก่า  ดวงตาฝ้าขุ่นแลดูเวิ้งว้างไร้ที่สุด  ริมฝีปากงุ้มคว่ำลงเช่นเดิม  ลอยรอบริมฝีปากย่นยุบลงตามอารมณ์ซึ่งหม่นเศร้าของแก  ยายเยื้อนไม่ทันสังเกตเห็นจุดดำๆ อันปรากฏขึ้นท่ามกลางพยับแดด  จุดนั้นเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อหยุดนิ่งใต้ร่มไม้ชั่วระยะสั้นๆ ก่อนเคลื่อนที่อีกครั้ง  ผ่านไปครู่ใหญ่กระทั่งเสียงย่ำสวบสาบฝ่าป่าหญ้าข้างบ้านใกล้เข้ามา  ตู้ฤทธิ์ในสภาพผอมซูบโซเดินเข้ามาหาแม่พร้อมด้วยท่อนหวายขี้ไก่ขนาดเขื่องในมือ  ตู้บอกว่านี่คืออาวุธที่ปู่ฟ้าคร้ามบอกตนในความฝัน  เป็นแก่นหวายซึ่งแข็งดุจเหล็กกล้า  หวายร้อยกอพันกอจะมีเพียงหนึ่งท่อนเท่านั้นซึ่งมีคุณสมบัติตามที่ปู่ฟ้าคร้ามชอบใจ  และตู้ฤทธิ์ได้มาอย่างยากลำบาก  ได้ยินเช่นนั้นแล้วยายเยื้อนจึงกราบไหว้อธิษฐานต่อหมอครูปู่ฟ้าคร้ามอย่างสุดจิตสุดใจ  ตู้ฤทธิ์ไม่รอช้า  รีบนำแก่นหวายไปรนไฟพร้อมกับบริกรรมคาถา  จากนั้นนำมาขัดตกแต่ง  ตลอดเวลาตู้ทำปากขมุบขมิบแล้วค่อยๆ เป่าลมใส่ท่อนหวายไปหลายคาบ  บางคราหลับตาท่องบ่นมนต์ ชี้ปลายหวายขึ้นฟ้า  ก่อนนำไปชโลมด้วยน้ำมันงู  กิริยาของตู้ฤทธิ์เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงราวกับเด็กหนุ่ม  สมาธิพุ่งไปยังการปลุกเสกศัสตราวุธของหมอครูอย่างคร่ำเคร่ง  พิธีกรรมยังดำเนินต่อไปโดยไม่หยุดพัก  กระทั่งยายเยื้อนเข้านอนและสะดุ้งตื่นกลางดึกด้วยเสียงแผดก้องของสายฟ้าจากที่ไกลๆ  แกลืมตาขึ้นช้าๆ  เห็นเพียงเงาดำทะมึนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างกองไฟขนาดใหญ่  ที่มีเปลวแตกปะทุเปรี๊ยประเป็นครั้งคราว

 

  เปลวไฟม้วนตวัดพร้อมสะเก็ดไฟลุกปั่นป่วนสูงขึ้นไปจนสั่นไหวก้านมะพร้าวยวบยาบ  เงาซึ่งอยู่ข้างกองไฟนั้น  ลางทียืดสูงขึ้นจนพ้นคลองตาของแก  บางขณะแผ่ขยายออกและบิดเบี้ยวผิดผันไป  ทุกอย่างที่เห็นนั้นเกินความเข้าใจของยายเยื้อน  อาการง่วงงุนเริ่มรุกรานอย่างฉับพลัน  แกปิดเปลือกตาลงกับภาพสุดท้ายร่างเงาดำทะมึนหายวูบเข้าไปในกองเพลิง  ยายเยื้อนหลับลงอย่างง่าย ดายพร้อมกับเสียงแตกปะทุจากกองไฟ  และเสียงท้องฟ้าครางครืนใกล้เข้ามา

      ย่ำรุ่งยายเยื้อนหยัดกายลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า  เสียงไก่ขันดังเร้าประสานเสียงเร่งรัวกระทั่งทอดไกลออกไป  มือแกคลำไปถูกวัตถุชิ้นหนึ่งไม่ไกลจากตัวนัก หญิงชราใช้สิ่งนั้นช่วยพยุงกายขึ้น  และถดก้นออกมาจากห้องขณะในมือยังกำวัตถุชิ้นนั้นไว้แน่น  แสงทองจับที่ขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกก่อนแผ่อาณาเขตแห่งสีสันกว้างใหญ่ไพศาล  ยายเยื้อนยิ้มเมื่อเห็นสิ่งซึ่งอยู่ในมืออย่างแจ่มชัด  สิ่งนั้นคือไม้เท้าสีดำเป็นมัน  แกยกขึ้นดูแสงสะท้อนวาววับดุจนิล  ไม้เท้าท่อนนี้แฝงเร้นความน่าเกรงขามไว้อย่างลึกลับ  ยายเยื้อนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ  คราวนี้แกประคองด้วยสองมือ  รูปทรงราวกับพญางูเห่าที่ถูกยืดให้ตรงแล้วสะกดไว้ด้วยเวทมนต์อันเข้มขลัง  ยายเยื้อนเรียกลูกชายด้วยเสียงแหบพร่า  ไม่มีเสียงตอบ ร่องรอยเพียงอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่คือเถ้าถ่านกองใหญ่จากการมอดไหม้ทิ้งพวยควันสีเทาลอยกรุ่น  กับกลิ่นเนื้อเหม็นไหม้ลอยปนมากับสายลมเอื่อยอ่อน ยายเฒ่าใช้ไม้เท้าอันใหม่พยุงกายเดินไปมาอีกหลายรอบรู้สึกกระปรี้กระเปร่า  ตู้ฤทธิ์หายตัวไปอีกครั้ง  มีลักษณาการเดียวกับครานั้นไม่ผิดเพี้ยน  ที่ลูกชายแกหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้โดยไม่บอกกล่าว  ทำให้ยายเยื้อนครุ่นคิดไปต่างๆ นานา  เมื่อสิ้นไร้หนทางหาเหตุผล  แกเหน็บไม้เท้าไว้ข้างเอวแล้วจึงปีนขึ้นไปบนบ้านเพื่อหุงหาอาหาร  แม้กระนั้นแกรู้สึกอุ่นใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  เมื่อนึกถึงไม้เท้าอันนี้ของแก  นี่ไม่ใช่ไม้เท้าธรรมดา  หากคืออาวุธอันศักดิ์สิทธิ์ของหมอครูปู่ฟ้าคร้าม  มีเพียงหมอครูเท่านั้นที่จะลบล้างคำสาปอันน่าหวาดสะพรึงของหมอผีเฒ่าคำฝานได้  แกลูบคลำไม้เท้าด้วยความมั่นใจ  คราวนี้ไม่ว่าเภทภัยใดๆ ไม่อาจกล้ำกรายแกได้อีกต่อไป  แกยิ้ม  ตักข้าวสารจากโอ่งเล็กๆ ใส่หม้อหุงข้าวบุบบี้ใบเก่า  ตู้ฤทธิ์อาจเข้าป่าอีกครั้งไปหาฟืนมาเผาถ่าน  หรือเข้าไปตัดหวายหอมมาขายก็เป็นได้  แต่บางครั้งเท่านั้นที่ยายเยื้อนรู้สึกว่าตู้ฤทธิ์เดินวนเวียนอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาโดยมองไม่เห็นตัว


   นับจากนั้นนานหลายปี ยายเยื้อนดำรงชีพอยู่ด้วยความอัตคัดขัดสน  แกช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หลายอย่าง  แต่พอถูไถหาอยู่หากินไปตามประสา  ถึงเวลานี้แกไม่คาดหวังการกลับมาของลูกชายอีกแล้ว  แกตระหนักว่าหากตู้ฤทธิ์ตายจากโลกนี้ไป  วิญญาณคงมาสิงสถิตอยู่ในไม้เท้าอย่างแน่นอน  เพื่อคอยช่วยพยุงแกเวลาไปไหนต่อไหน  นับแต่ปลงใจเช่นนั้นยายเยื้อนหาได้โศกเศร้าเสียใจไปกว่าการทำใจยอมรับแต่โดยดี  ยุคสมัยโบราณนั้นแกเข้าใจว่า  ผู้ทำศัสตราวุธซึ่งดีที่สุดจำต้องอุทิศทั้งชีวิต  หลอมรวมเลือดเนื้อของตนพลีแก่ศัสตราวุธเป็นปฐม  นั่นคือประสงค์ของหมอครูปู่ฟ้าคร้าม  การเป็นมนุษย์ผู้ตกค้างมาจากยุคสมัยเก่าแก่ของแกทำให้ต้องแบกรับเอาสิ่งลึกลับไว้เพียงลำพัง  ป่านนี้ชาวบ้านคงลืมเรื่องนี้ไปจนหมดสิ้นแล้ว  แต่หญิงชรายังรับรู้ได้เสมอว่าคำสาปหมอผีคำฝานจะส่งผลต่อชาวบ้านโดยไม่รู้ตัว  มันกัดกินพวกเขาให้ค่อยๆ ตายลงอย่างช้าๆ  อย่างเงียบเชียบ  อย่างมีจุดมุ่งหมายอันเลวร้าย  แกเองก็เช่นกัน  ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ซ้ำร้ายดูเหมือนการคุกคามต่อตัวแกนั้นถูกมาดหมายมากกว่าคนอื่น  ยายเยื้อนยกไม้เท้าขึ้นเหนือหัว  ร่างสั่นสะท้าน  เกิดความกลัวสุมรุมในจิตใจจนยากจะสลัดออก  ความทรงจำจู่โจมแกอีกครั้ง  ครานั้นนั่นเอง  แกจำได้สนิทใจ  มันเป็นเคราะห์กรรมซึ่งเฉียบขาดฉับพลันจนแกเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง  เป็นเภทภัยสามัญธรรมดาเหลือเกินสำหรับคนอื่น  แต่สำหรับยายเยื้อนแล้วหมายถึงการเดิมพันด้วยชีวิต  ครานั้นแกไปเก็บผักเพื่อนำมาต้มกินกับน้ำพริก  เป็นการเก็บผักริมรั้วธรรมดาๆ นี่เอง  ตำลึงแตกยอดสีเขียวอ่อนสะพรั่งไปทั้งรั้ว  แกเดินเก็บไปเรื่อย บรรจงเด็ดยอดตำลึงอ้วนอวบอย่างเพลิดเพลิน  เคลื่อนกายเอื่อยเฉื่อย  เช้าแห่งวิกฤตนั้น  เมื่อยายเยื้อนรับรู้สิ่งรอบด้านอีกทีก็พาตัวเองเข้าไปอยู่กลางวงล้อมของฝูงหมาเสียแล้ว  รู้ทั้งรู้ว่าบ้านถัดไปอีกสองหลังนั้นเลี้ยงหมาพันทางสี่ห้าตัว ซึ่งทุกตัวล้วนดุร้าย  ต่างถูกล่ามโซ่ติดไว้กับเสา  เจ้าของบ้านปลูกมะม่วงไว้หลายสายพันธ์  ในตอนกลางคืนหมาฝูงนั้นถูกปล่อยให้เฝ้าสวนมะม่วง  พอรุ่งเช้าเจ้าของสวนจะล่ามพวกมันไว้ทั้งวัน  ทิ้งชามอาหารและน้ำไว้ใกล้พวกมันแต่ละตัว  หากแต่เช้านั้นคงเป็นวันเคราะห์หามยามร้ายที่เจ้าของบ้านตื่นสาย  ฝูงหมาเหล่านั้นจึงออกจากสวนหลังบ้านมาเพ่นพ่านตรงถนน  และเห็นยายเยื้อนยงโย่ยงหยกเด็ดยอดผักอยู่ในอาณาเขตของพวกมัน  อากัปกิริยาของยายเยื้อนผิดไปจากมนุษย์หัวขโมยทั่วไปซึ่งพวกมันเคยเผชิญหน้าและได้ฝากคมเขี้ยวไว้  อาการเช่นนั้นทำให้พวกฝูงหมาคิดว่านี่คือหมาต่างถิ่นตัวหนึ่ง  ไอ้ตัวจ่าฝูงจ้องยายเยื้อนเขม็ง  หมาพวกนี้ถูกเลี้ยงอย่างทาสเพื่อจงใจให้พวกมันดุร้ายและกัด  การถูกจำขังมาแต่เกิดทำให้พวกมันกราดเกรี้ยวเต็มสันดาน  ยายเยื้อนพิงหลังกับเสารั้วเพราะถูกตีกรอบล้อมไว้ทุกด้าน  แกกุมไม้เท้าแน่น  ร่างโยกสะท้านริมฝีปากเม้มสนิทส่ายสายตาไปมา ไอ้ตัวจ่าฝูงเห็นไม้เท้าในมือของศัตรู  ทั้งยังได้กลิ่นงูพิษโชยจากไม้เท้าด้วยสัญชาตญาณนักล่าอันยอดเยี่ยมของมัน  ขนต้นคอและสันหลังของพวกมันชูชันคำรามเสียงต่ำ  หางชี้แข็ง  แสยะปากที่เต็มไปด้วยฟันเขี้ยวแหลมคม  เคลือบด้วยคราบน้ำลายซึ่งทะลักออกมาจนย้อยลงพื้นเป็นทาง  ทุกตัวต่างล้อมใกล้เข้ามาหาแก  ดวงตาอำมหิตของพวกมันทำให้ยายเยื้อนสิ้นเรี่ยวแรงแทบทรุดกองอยู่กับพื้นหญ้าให้พวกมันแทะทึ้งตามใจชอบ  ไอ้ตัวจ่าฝูงค่อยย่างเข้าใกล้  ทุกตัวทำตาม  เป็นปฏิบัติการอย่างเงียบเชียบ  ไอ้จ่าฝูงหมายลำคอของเหยื่ออย่างไม่วางตา  มันต้องการกัดแค่ครั้งเดียว  หลังจากนั้นพรรคพวกของมันจะเข้ารุมขย้ำอย่างไม่ผิดพลาด  หลังจากกินแต่อาหารชั้นเลวพวกมันคงอยากลิ้มรสเนื้อสดๆ และเลือดสดๆ บ้าง  ยายเยื้อนคอแห้งผง  ความหวาดกลัวแล่นเข้าจับหัวใจของแกจนสั่นรัวราวจะหลุดจากขั้ว  วินาทีที่แกยกไม้เท้าแกว่งไปมานั้น  ยายเยื้อนได้กลิ่นยาสูบซึ่งตู้ฤทธิ์ใช้มวนใบตองแห้งเป็นประจำ  กลิ่นนั้นฉุนกึกแทรกเข้าโพรงจมูก  แกรู้ด้วยสัญชาตญาณว่า  วิญญาณตู้ฤทธิ์ต้องอยู่ข้างๆ อย่างแน่นอน  ความหวาดกลัวค่อยถอยร่นไปพร้อมกับหัวใจซึ่งฮึกเหิมแทรกเข้าแทนที่  ฉับพลันนั้นเองไอ้จ่าฝูงกระโจนเข้าใส่แกอย่างสุดกำลัง  ยายเยื้อนตั้งท่ารออยู่แล้วก็เสือกไม้เท้าปักเบ้าตาของไอ้ตัวจ่าฝูงอย่างเหมาะเหม็ง  ปลายไม้เท้าเรียวเล็กกะซวกเสียบดวงตาทะลุลึกเข้าไป  ไอ้จ่าฝูงดิ้นปัดๆ และแน่นิ่งโดยไร้เสียงร้องอยู่ปลายเท้าแก  เจ้าตัวอื่นต่างผงะถอยขณะเสียงประกาศิตของเจ้านายแผดตวาดขึ้นจากบนบ้าน  พวกมันต่างวิ่งกลับไปด้วยความกลัวลนลานจนหางจุกตูด  ยายเยื้อนทรุดลงกับพื้นข้างซากไอ้ตัวจ่าฝูง  เม็ดเหงื่อผุดพร่างไปทั้งร่าง  เรี่ยวแรงเหือดหายสิ้น  นั่งแบ็บบนพื้นหญ้าข้างรั้วอยู่นาน  บัดนี้แกเชื่อแล้วว่าไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยชีวิตเอาไว้  หมอครูปู่ฟ้าคร้ามเฝ้ามองอยู่ ขณะที่หมอผีคำฝานก็ได้ส่งสัตว์ร้ายเหล่านั้นมารังควานแก  มาจัดการกับแกให้สมแค้น  กระทั่งเกือบเพลี่ยงพล้ำให้แก่ฝูงหมาเถื่อนพวกนั้นเข้าแล้ว  นั่นคือประสบการณ์ระทึกใจที่สุดในชีวิต  ซึ่งคิดถึงคราใดแล้วยังเสียวแสยงอย่างเต็มกลั้นทุกครั้งไป  ยายเยื้อนลูบคลำไม้เท้าอย่างทะนุถนอม  เฝ้าเช็ดถูอย่างพิถีพิถันให้สมกับเป็นสิ่งซึ่งแกรักมาก  ไม่มีเวลาใดเลยที่ศัสตราวุธของหมอครูปู่ฟ้าคร้ามจะห่างจากกายหญิงชรา  คำสาปของหมอผีคำฝานยังไม่เสื่อมคลายลงเพียงเท่านี้ดอก  แกคิด  
   คราใดที่ยายเยื้อนเผลอไผลครุ่นคิดถึงเหตุการณ์น่าประหวั่นหวาดครั้งนั้น เหตุการณ์ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อชีวิตและเลือดเนื้อของแก  มันทำให้ต้องระบายความตระหนกออกไปด้วยการถอนหายใจยาวๆ หลายครั้ง  แต่แล้วบางเสี้ยวของการครุ่นคำนึงนั้นแกกลับรู้สึกสะใจที่ได้เด็ดชีพปีศาจร้ายลงเสียได้  แกมั่นใจทีเดียวว่า  ฝูงหมาพวกนั้นต้องมนต์สะกดคำสาปยายเฒ่าคำฝานหมอผีคนสุดท้ายของหมู่บ้าน  แต่เหตุการณ์เฉียดตายครั้งนั้นเกิดขึ้นนานมาแล้ว  แม้ขณะนี้ลมหายใจของยายเยื้อนแผ่วจางลงสักปานใดก็ตาม  ดูจะไม่สลักสำคัญเท่ากับสังขารของแกซึ่งทะลุกาลเวลามาไกลกว่าร้อยปีโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนแกจะลืมนับอายุตัวเองไปเสียสนิท  อายุอานามทิ้งซากศพของมันไว้เบื้องหลังความเสื่อมโรย  ดวงตาข้างขวาขุ่นมัวแม้ในตอนกลางวัน  ดวงตาของแกเดินทางมาถึงจุดใกล้มืดบอดเต็มที  ความเจ็บปวดจากการเคลื่อนไหวร่างกายชอนไชเข้าไปถึงโพรงกระดูก  อาหารการกินมีรสชาติจืดสนิท  ความเป็นมนุษย์ของยายเยื้อนกำลังเคลื่อนเข้าสู่ความแตกสลาย  ธาตุทั้งสี่ที่ประชุมกันอยู่นั้นเหนื่อยหน่ายเต็มที  และพร้อมจะผละออกจากกันอย่างไร้เยื่อใยเพื่อกลับไปหลอมรวมกับต้นกำเนิด  มีเพียงอย่างเดียวซึ่งยังซื่อสัตย์อยู่คือไม้เท้า  นั่นทำให้ยายเยื้อนยังยืนหยัดอยู่ได้  แม้ต้องผจญภัยกับสถานการณ์วิปโยคแห่งชีวิตปานใด  ทำให้หยัดร่างอยู่ได้ท่ามกลางกระแสอันกรากเชี่ยวของความเปลี่ยนแปลงรอบกายแก  กระนั้นกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติกำลังเล่นงานยายเฒ่าอย่างเงียบเชียบ  ฝนปีนี้ปั่นป่วนไปทั้งฤดูอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  หลายเดือนให้หลังยายเยื้อนป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด ชีวิตโดดเดี่ยวที่ถูกลืมของหญิงชราอายุกว่าร้อยปี  เสมือนผงธุลีซึ่งซุกซมอยู่ในเทือกผาอันยิ่งใหญ่  ในวันที่ร่างกายสั่นสะบั้นด้วยความหนาวเหน็บจากพิษไข้และสายลมกระโชกกระชากอย่างไร้ความปราณี  ทำให้แกได้ฉุกคิดถึงชะตากรรมของตัวเอง  ลมหายใจอาจขาดห้วงไปเมื่อใดก็ได้  หัวใจแกอาจหยุดเต้นเสียดื้อๆ ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้านี้ก็เป็นได้  แกอาจจะตาย  โอ...ยายเยื้อนครางด้วยอาการทอดถอนใจ  และตระหนกขึ้นมาทั้งชีวิตว่าความตายพุ่งโพลงขึ้นแล้ว แม้ในประสาทการรับรู้อันย่อหย่อนประสิทธิภาพ  จิตยายเยื้อนประหวัดถึงสิทธิ์ของผู้เป็นแม่  ผู้เป็นยาย  ผู้เป็นทวด  สุดท้ายแกไพล่คิดถึงลูกหลาน  อย่างน้อยหากจะตายแกควรได้ตายอยู่ต่อหน้าลูกหลาน  ความตายเพรียกหาอีกครั้งเป็นสัญญาณอ่อนๆ ด้วยการไอ  แกไอโขลกๆ ขณะขืนร่างอันร้อนสุมด้วยพิษไข้ขึ้นนั่ง  ยายเยื้อนตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า  แกต้องเดินอีกครั้ง  และครานี้การเดินของแกอาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต  หญิงชราคลำหาไม้เท้า  ใช้สองมือประคองแล้วโถมแรงทั้งหมดที่มีลุกขึ้นยืน  ครั้นเมื่อยืนได้แล้วแกจำต้องรอคอยจนกว่าร่างจะหยุดสั่นสะท้านเสียก่อน  ฝูงหมาปีศาจเหล่านั้นอาจรออยู่บนถนน  พวกมันต้องจำแกได้  พวกมันอาฆาตแค้นไม่ลืมแม้จะถูกล่ามโซ่ไว้  แกเองไม่แน่ใจนักว่าจะปลอดภัย  ความคลั่งแค้นเต็มไปด้วยพละกำลังเสมอ  อีกอย่างหากไปทางถนนใหญ่แกต้องเดินอ้อม  ระยะทางไกลเกินไป  ยายเยื้อนเลือกเส้นทางตัดตรงผ่านป่ากล้วยและหญ้าคารกเรี้ยว  เป็นระยะทางใกล้สุดแล้วเท่าที่แกคิดได้  แม้จะอันตรายอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่มีเส้นทางอื่นซึ่งใกล้กว่านี้  กำลังใจของแกเพิ่มเรี่ยวแรงกลับมาไม่มากนัก  และไม่มีเวลาอีกต่อไปแล้ว  แกไม่พะวงเรื่องการแต่งตัวอะไรอีก  ผ้าถุงซึ่งเปื้อนคราบเยี่ยวเป็นด่างดวงไม่ได้สร้างความกังวลใจแต่อย่างใด  เสื้อคอกระเช้าบางเฉียบที่มีรอยปรุขาดหาไม่ได้สร้างความกังวล  ยายเยื้อนจำได้เลาๆ ว่าหากเดินลัดตัดตรงจากหน้าบ้านจะทะลุไปถึงถนนใหญ่เส้นซึ่งแกเลี่ยงที่จะเดินอ้อม  จากนั้นเลี้ยวซ้ายอีกนิดเดียวก็ถึงเขตบ้านลูกสาวทั้งสามของแก  สายลมเพลาความรุนแรงลงไปแล้ว  นับเป็นเวลาเหมาะ  มือข้างหนึ่งจับเสารั้วหน้าบ้านไว้  มืออีกข้างหนึ่งกุมไม้เท้าแน่น  ทัศนียภาพเบื้องหน้ามองเห็นเพียงรางเลือน  อาการเปลี้ยจากพิษไข้ยังรุมๆ อยู่  แกเริ่มเดินย่ำผ่านดงละเมาะไปตามทางแคบๆ ซึ่งร้างผู้คนสัญจรมานานจนหญ้าขึ้นรกเรื้อ  โดยใช้ไม้เท้าตีเปะปะให้เกิดเสียงเตือนพวกอสรพิษทั้งหลายให้หลบหลีกจากทางที่แกกำลังเดินไป  อากาศเย็นกดทับลงบนเนื้อหนังเหี่ยวย่นราวกับจะบั่นทอนร่างให้แห้งแข็งอยู่เช่นนั้น  ยายเยื้อนกระชับไม้เท้ามั่นทั้งค้ำยันและหวดไปด้านหน้า  ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการผ่านป่ารก  จะล้มลงไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากล้มลงแกอาจไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีกเลย  หลังซึ่งขนานพื้นกับย่างก้าวเชื่องช้ามุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น  ใช้เวลาพอสมควรทีเดียวกว่าจะฝ่าป่าละเมาะออกมาได้และเข้าสู่ดงกล้วยน้ำว้าอันโบกชูใบสลอน  ใบกล้วยไกววูบวาบตามแรงลมซึ่งสงบไปเพียงชั่วครู่และเริ่มพัดกระหน่ำอีกครั้ง  ลำต้นอิ่มน้ำฝนยืนต้านทานแรงลมสั่นไหว  และมีเสียงปึดๆ ที่ลำต้นคล้ายจะถอนรากถอนโคน  สายลมปั่นป่วนเบื้องบนอย่างบ้าคลั่ง  ใบกล้วยกวัดแกว่งปะทะกันเสียงดังเกรียวกราว  ยายเยื้อนหยุดนิ่งเป็นจังหวะ  ร่างเล็กๆ เดินอยู่ท่ามกลางดงกล้วยเอนอ่อนคล้ายกำลังถูกสายลมถอนไปทั้งยวง ทางนี้ไม่ผิดแน่  แกคิดเมื่อก้าวขาที่แข็งขืนต่อไปอย่างเชื่องช้า  จิตใจทั้งหมดสิ้นพุ่งตรงไปยังทางเส้นเล็กๆ ซึ่งจะนำแกไปทะลุทางสายใหญ่เบื้องหน้า  แกกำลังจะผ่านดงกล้วยได้แล้ว  สายลมพัดจัดขึ้นอีกกระทั่งหญิงชราทานแรงลมต่อไปไม่ไหว  จึงใช้มือข้างหนึ่งโอบต้นกล้วยเอาไว้แน่น  มืออีกข้างสั่นระริกกุมไม้เท้าไว้สุดกำลัง  ชั่วอึดใจเท่านั้นเองสายลมที่โหมกระพือก็หยุดนิ่งสนิทราวปาฏิหาริย์  ฟ้าเปิดเป็นครั้งแรกของวัน  ยายเยื้อนชูไม้เท้าท่วมหัวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่งเดชไป  แต่เพียงพริบตาภาพความเคลื่อนไหวเบื้องหน้าก็พร่าจางลงไปอีก  เมื่อเมฆกลุ่มใหญ่ดำทะมึนเริ่มเคลื่อนเข้าบดบังดวงตะวัน  มีบางอย่างผิดปรกติไป  ยายเยื้อนหยุดพินิจ  สิ่งหนึ่งเป็นเงาพร่ามัวเคลื่อนไหวใกล้เข้ามา  แกเริ่มใจสั่นสะท้านอีกครั้งขณะพยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดความสามารถ  หัวแกสั่นหงึกๆ ขณะเพ่งมองอย่างตั้งใจ  แต่จนแล้วจนรอดภาพเบื้องหน้ากลับไม่กระจ่างชัดขึ้นได้  สิ่งนั้นหยุดอยู่เบื้องหน้าห่างออกไปเพียงไม่กี่วา  ร่างเตี้ยเตี้ยคล้ายคนแคระ  แกเรียกออกไปแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา  ร่างนั้นเคลื่อนไปทางซ้ายทีเคลื่อนไปทางขวาที  ยายเยื้อนหันหน้าตาม  นี่คงเป็นลิง  แกคิด  ในความทรงจำครั้งอดีตปรากฏว่ามีฝูงลิงอาศัยอยู่แถบนี้มากมาย  หากพวกมันยังอยู่ทำไมจึงลงดินแทนที่จะโผนกระโจนอยู่บนยอดไม้  ฝูงของมันอาจอยู่ใกล้ใกล้แถวนี้  ลิงทโมนดื้อด้านกับฝูงอาจกำลังจ้องมองแกอยู่อย่างตั้งใจ  พวกมันจะเป็นอันตรายหรือเปล่านะ  พวกมันมีจุดประสงค์อะไรกันแน่  แกเริ่มกังวลและหวั่นหวาดแต่ก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน  ความเงียบอำมหิตบีบคั้นแกอย่างร้ายกาจ ยายเยื้อนตัดสินใจยกไม้เท้าขึ้นแล้วส่งเสียงไล่อยู่หลายครั้ง  หากร่างเงานั้นก็ยังคงนิ่งอยู่  เป็นความนิ่งที่แปลกประหลาดผิดวิสัยลิงเสียจริงๆ  แกหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ยืนห่างจากแกไม่กี่วาคือเด็กคนหนึ่ง  และไอ้เด็กคนนั้นก็คือโหลนชายแท้ๆ ซึ่งแกไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตาหรือเคยทำความรู้จักมาก่อน  ไอ้ซานโตสนั่นเอง  เดิมทีมันเล่นซนอยู่บนถนนอย่างอิสระ  พ่อของมันไปกรุงเทพฯ  แม่ของมันไปไร่ข้าวโพด  ยายของมันนอนซมไข้อยู่บนบ้าน  เพื่อนๆ ของมันไปโรงเรียนกันหมด โดยที่มันทำทีเป็นไม่สบายตบตาใครต่อใคร  ไอ้ซานโตสสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวในดงกล้วยและจ้องมองอยู่นานครัน  มันไม่รู้ว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวเชื่องช้านั่นเป็นอะไร  แต่สิ่งซึ่งมันรู้แน่ๆ คือนั่นไม่ใช่คนอย่างที่มันเคยเห็นมาก่อน  แม่มันชอบขู่ว่าหากมันดื้อมากแม่มดคำฝานจะมาล้วงตับมันไปกิน  แรกที่ไม่คุ้นเคยมันก็กลัวจนหมอบราบคาบแก้ว  แต่ครั้นพอแม่มันพูดขู่บ่อยๆ เข้าก็เลยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา  มันฉลาดฉิบหายเลย  มันดูหนังการ์ตูนอยู่บ่อยๆ  แล้วก็เห็นแม่มดรูปร่างประหลาดถือไม้เท้ารูปทรงประหลาด  และไม้เท้านั้นก็มีความวิเศษ  ทุกครั้งที่แม่มดยกไม้เท้าจะส่องแสงและมีอาเพศเกิดขึ้น  และมันก็ชอบพระเอกในเรื่องซึ่งคอยปราบเหล่าร้ายรวมถึงแม่มดใจโฉดด้วยตัวเอง  และมันได้เคยสมมุติตัวเองเป็นพระเอกกับเขาด้วยคนหนึ่งเหมือนกัน  เพื่อกำราบเหล่าร้ายรวมถึงแม่มดใจโฉดด้วย  มันลอบมองอยู่บนถนนนานแล้ว  สิ่งที่เคลื่อนไหวงกงกเงิ่นๆ นั้นคงเป็นแม่มดอย่างแน่นอน  ร่างกายเหี่ยวย่นอัปลักษณ์ผิดมนุษย์นั้นเล่า  ไม้เท้ารูปร่างประหลาดนั่นอีก  และการปรากฏตัวของแม่มดร้ายนี่ก็มีสายลมป่วนปั่นเหมือนในโทรทัศน์เลย  ไอ้ซานโตสย่อขากำหมัดในท่าเตรียมพร้อมเหมือนพระเอกในโทรทัศน์  มันจำได้อย่างแม่นยำว่าไม้เท้าของแม่มดคืออาวุธร้าย  ที่ต้องแย่งเอามาให้จงได้  หากทำสำเร็จแม่มดจะสิ้นพิษสงลงทันที  ยายเยื้อนชูไม้เท้าอีกครั้งพร้อมส่งเสียงไล่ดังขึ้น  ท้องฟ้ามืดครึ้ม  สายฟ้าแลบแปลบปลาบพร้อมเสียงครางครืนสะท้อนสะเทือน  แกเริ่มกลัวทั้งสิ่งที่อยู่เบื้องบนและเบื้องหน้า  จนไม่สามารถอั้นเยี่ยวซึ่งไหลเล็ดออกมาได้  เมื่ออ้ายลิงหลงฝูงตัวนั้นเริ่มเคลื่อนตรงเข้ามาหาแก  ก็อารามยกไม้เท้าขึ้นฟาดตามสัญชาตญาณ  แต่แล้วไม้เท้าถูกอ้ายลิงจับเอาไว้ได้  แล้วการยื้อยุดฉุดกระชากจึงเริ่มเปิดฉากขึ้น  ยายเยื้อนกำไม้เท้าด้วยสองมือไว้แน่น  นี่เป็นสิ่งเดียวที่แกจะยอมให้สูญเสียไปไม่ได้ ร่างนั้นยื้อไม้เท้าพาแกหมุนไปรอบๆ  ยายเยื้อนพยายามต้านสุดแรงเกิด  ขาแกเริ่มล้าเพราะเดินบุกป่าละเมาะมาอย่างยากลำบากแทบล้มประดาตาย  แกประคองตัว  พยายามพิงต้นกล้วยเพื่อกันไว้ไม่ให้ล้ม  หอบหายใจถี่ส่งเสียงอึกอักในลำคอ  อ้ายลิงผี  อ้ายลิงเปรต  มันไม่ยอมปล่อยไม้เท้าแต่กลับฉุดกระชากพร้อมกระโดดโลดเต้นขึ้นลง  แกจะล้มไม่ได้  ต้องไม่ล้มเด็ดขาด  อ้ายลิงผี  อ้ายลิงเปรต  ยายเยื้อนเริ่มรู้แล้วว่าอ้ายลิงตัวนี้เป็นลูกสมุนของหมอผีคำฝานอย่างแน่นอน  มันมีจุดประสงค์เพื่อมาแย่งชิงไม้เท้าของหมอครูปู่ฟ้าคร้าม  แกดึงหัวไม้เท้ามาเหน็บไว้กับรักแร้เพื่อจับไว้ให้มั่นคงขึ้น  ไหล่ข้างซ้ายพิงต้นกล้วยยักแย่ยักยัน  ดวงตาซึ่งมองเห็นเพียงเงาตะคุ่มตะคุ่มเริ่มมีอุปสรรคขึ้นอีก  เมื่อแพเมฆตั้งม่านขึ้นบดบังท้องฟ้าจนมืดมิดราวกับกลางคืน  อ้ายลิงยังจับปลายไม้เท้าอีกข้างอย่างเหนียวแน่นโยกย้ายดึงดัน  แกก็กระชากเท่าที่เรี่ยวแรงจะต้านทานไว้ได้  

 

     ยายเยื้อนรู้สึกเหมือนแผ่นดินจะทรุดดูดแกจมลงบาดาล  เวลาล่วงผ่านไปนานเท่าใดมิอาจรู้ได้  สงครามแย่งชิงไม้เท้ายังดำเนินอยู่อย่างเข้มข้น  บางคราวต่างฝ่ายต่างออมแรงแต่มือของทั้งคู่ยังกุมไม้เท้าไว้แน่น  หากฝ่ายที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ คือยายเยื้อน  ขาเข่าของแกทรุดลงหลายครั้งหืดหอบหายใจไม่ทันด้วยความเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจ  คู่ต่อสู้ของหญิงชราเรี่ยวแรงไม่ตกลงเลยและดูจะมีกำลังเพิ่มขึ้นอีก  แกจะพ่ายแพ้ไม่ได้  ไม้เท้าคือชีวิตของแก  หากเสียไม้เท้าไปเท่ากับชีวิตต้องสูญสิ้นเช่นเดียวกัน  นี่คือเฮือกสุดท้าย  คือวาระสุดท้ายแห่งการต่อสู้อันแสนทรมาน  ฝนเริ่มเทจั้กๆ ลงมาและตกหนักอย่างยาวนาน  การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด  หญิงชราซึ่งซานซมด้วยพิษไข้  การเดินทาง  และการต่อสู้นั้นบีบคั้นให้ร่างกายแทบป่นเป็นผงธุลี  ผิวหนังที่ยับย่นเปียกชุ่มหนาวสะบั้น  บัดนี้แกมองไม่เห็นอะไรแล้วจากเมฆครึ้มดำและสายฝนหนาเม็ดซึ่งพรางตาเอาไว้  แต่ความรู้สึกที่ปลายไม้ยังหน่วงหนักอยู่แกต้องดึงไว้ต่อไป  ยายเยื้อนรู้สึกปวดร้าวไปทั้งองคาพยพ  อ้ายลิงผี  อ้ายลิงเปรต  อุปสรรคครั้งนี้อาจหนักหนาเกินไปสำหรับแก ยิ่งปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไปแกยิ่งกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบ  ไม้เท้าถูกน้ำฝนจนลื่น แกต้องออกแรงกำไม้เท้าให้กระชับขึ้นอีก  ไอ้เด็กซานโตสถูหน้าตัวเองกับท่อนแขนเพื่อเช็ดหยดน้ำที่เข้าตา  แม่มดร้ายทนทานกว่าที่มันคิด  มันต้องเผด็จศึกขั้นเด็ดขาดเสียที  คิ้วใต้หน้าผากโหนกเคร่งขมวด  มันเม้มปากจ้องคู่ต่อสู้ด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย  พ่นลมหายใจแล้วปล่อยไม้เท้า  จากนั้นวิ่งเข้าไปทั้งเตะทั้งถีบชกต่อยอุตลุด  หมัดตีนเข่าศอกประเคนเข้าใส่ร่างแม่มดอัปลักษณ์อย่างไร้ปราณี  ร่างที่แน่นปั่กของมันแข็งแกร่ง  ขาที่แน่นปั่กของมันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  เมื่อแม่มดร่ำร้องด้วยความเจ็บปวด  มันยิ่งได้ใจประเคนอาวุธเข้าใส่อีกไม่ยั้ง  อย่างไรเสียมันต้องชิงไม้เท้าจากแม่มดชั่วให้ได้  ฝนยังไม่มีทีท่าราสาย  ไอ้ซานโตสยังปฏิบัติการช่วงชิงไม้เท้าตามแบบที่พ่อของมันฝึกให้  และมองเห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม  มันวิ่งวนไปรอบๆ แม่มด  อาศัยความว่องไวเร่งระดมสรรพอาวุธเข้าใส่อย่างโหดเหี้ยมและเงียบเชียบ  ยายเยื้อนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด  เมื่อถูกเตะต้นขาถูกชกเข้าที่สีข้างถูกศอกเฉาะใบหน้า  เสียงของแข็งกระแทกเข้าใส่ร่างกายอันบอบช้ำของแก  จนเสียงเหล่านั้นลั่นสะท้านอยู่ในทรวงอกและประสาทการรับรู้ของแก  ทุกข์โทษทั้งหลายรุมกัดกินร่างกายและแทะทึ้งจิตวิญญาณแกจนแทบจะทนไม่ไหว  หากแต่แกจะพ่ายแพ้ตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด  และเฮือกสุดท้ายนั่นเองยายเยื้อนก็ร้องเรียกหมอครูปู่ฟ้าคร้ามสุดเสียงพร้อมเหวี่ยงไม้เท้าด้วยแรงครั้งสุดท้าย  ท่อนไม้เท้ากระทบกับของแข็งเสียงดังโป๊กในจังหวะที่แกทรุดลงกับพื้นข้างกอกล้วย  อ้ายลิงผี  อ้ายลิงเปรตล้มลงทั้งยืนกระทั่งยายเฒ่าได้ยินเสียงมันวิ่งสวบสาบบุกป่าหญ้าหายไป  ยายเยื้อนนอนหงายกับพื้นทั้งที่มือยังกุมไม้เท้าแน่น  แกนอนแผ่หลา  ผมขาวโพลนเปื้อนดินโคลนและเปียกโชกจากสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ปราณีปราศรัย  พยายามจะหยัดกายขึ้นอีกแต่ไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย  ยายเยื้อนเอาไม้เท้าวางไว้บนอก

 

    การต่อสู้อันแสนยาวนานใกล้จบลงแล้ว  แกได้รับชัยชนะอีกครั้งต่อลูกสมุนของหมอผีเฒ่าคำฝาน  แม้จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็ตาม  สายฟ้าฟาดลงดินจนสะเทือนเลื่อนลั่นไม่ไกลจากตรงแกนอน  ตามด้วยเสียงไม้ใหญ่หักโค่น  แกหาได้สนใจหรือหวาดหวั่นอันใด  แม้จะไม่ได้พบหน้าลูกสาวก่อนทุกอย่างจะจบสิ้นก็ตาม  แต่ยายเยื้อนก็ได้พยายามจนถึงที่สุดแล้ว  แกง่วงเหลือเกินและหนาวเหลือหลาย  ทั้งร่างกายนั้นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป  ยายเยื้อนยิ้มละไมและปิดเปลือกตาลงท่ามกลางสายฝนที่สาดเทลงมาอย่างบ้าคลั่ง.
 

bottom of page